
โรคหัดเยอรมัน
โรคหัดเยอรมัน (Rubella) เกิดจากเชื้อไวรัสรูเบลล่า (Rubella) มักพบการระบาดในโรงเรียน โรงงาน สถานที่ทำงาน และระบาดบ่อยช่วงเดือนมกราคม-เมษายน
เชื้ออยู่ในน้ำมูก น้ำลาย ติดต่อกันได้โดยการไอ จาม หรือสัมผัสน้ำมูกน้ำลายที่มีเชื้อหัดเยอรมันอยู่ เชื้อนี้มีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ถึง 1 ปี
เมื่อติดเชื้อแล้ว จะยังไม่เกิดอาการทันที ใช้เวลาประมาณ 14-21 วัน จึงเริ่มเกิดอาการ อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ติดเชื้อส่วนมากมักไม่มีอาการใดๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย และหายได้เอง แต่ถ้าสตรีมีครรภ์ติดเชื้อโรคหัดเยอรมันในช่วงอายุครรภ์ 3-4 เดือนแรก จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทารกในครรภ์ ทำให้เด็กที่เกิดมาพิการ เช่น สมองฝ่อ หูหนวก ต้อกระจกตา โรคหัวใจ คนที่เคยเป็นโรคหัดเยอรมันแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ไปตลอดชีวิต
อาการ
1.สำหรับทารก ที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะมีโอกาสมีอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ตั้งแต่กำเนิด ทั้งนี้ความรุนแรงขึ้นกับอายุครรภ์ที่ได้รับเชื้อ ถ้าติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมันในช่วง 4 สัปดาห์แรกของอายุครรภ์ พบว่า ทารกมีโอกาสเกิดความพิการได้สูงถึงร้อยละ 50 ถ้าติดเชื้อในช่วงอายุครรภ์ที่ 5-8 สัปดาห์ ทารกมีโอกาสเกิดความพิการได้ประมาณ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 และถ้าติดเชื้อในช่วงใกล้คลอด ความพิการของทารกมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 8 ความพิการที่พบบ่อย ได้แก่ ความพิการทางตา เช่น ตาต้อกระจก ต้อหิน ความพิการที่หัวใจ หูหนวก ศีรษะเล็ก โครงสร้างสมองผิดปกติ ตัวเล็ก พัฒนาการช้า ตับโต ม้ามโต ตัวเหลือง มีจ้ำเลือดตามตัว และเกล็ดเลือดต่ำ
2.สำหรับเด็กโต อาการโรคหัดเยอรมันจะเริ่มจากต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู ท้ายทอยและด้านหลังของลำคอ มีไข้ ปวดศีรษะ มีอาการคล้ายเป็นหวัด อาจเจ็บคอร่วมด้วย เมื่อมีไข้ประมาณวันที่ 3 จึงเริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นจะแบนราบ สีชมพูจางๆ เริ่มขึ้นที่ใบหน้าแล้วลามไปทั่วตัวอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ผื่นเห็นชัดเจนบริเวณแขนขาจะหายไปในเวลา 1-2 วัน จากนั้นสีของผิวหนังจะกลับเป็นปกติ ในเด็กอาจมีเพียงอาการผื่นขึ้นโดยไม่มีไข้ หรือไม่มีอาการอื่นนำมาก่อน
3.สำหรับผู้ใหญ่ อาการจะคล้ายที่พบในเด็ก แต่ผู้ใหญ่จะมีไข้สูงกว่าเด็ก ผู้หญิงอาจมีอาการปวดข้อหรือข้ออักเสบร่วมด้วย เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ช่วงเวลาที่แพร่เชื้อได้มากที่สุด คือ ช่วง 2-3 วันก่อนผื่นขึ้น และเมื่อผื่นขึ้นแล้วยังสามารถแพร่เชื้อได้อีกประมาณ 7 วัน ดังนั้นในช่วงดังกล่าวผู้ป่วยควรแยกตัวและไม่ไปคลุกคลีกับผู้อื่น เพราะอาจกระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ
การรักษา
โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคที่ไม่มียาต้านไวรัส ถ้าเกิดในเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ตั้งครรภ์ ให้รักษาตามอาการ เช่น กินยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ
กรณีที่เกิดการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอายุครรภ์ 3 เดือนแรก แนะนำให้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเลือดดูว่า เคยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสหัดเยอรมันหรือไม่ กรณีตรวจไม่พบภูมิคุ้มกัน แนะนำให้ตรวจเลือดซ้ำอีกครั้ง ภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา ถ้าผลตรวจยังคงเป็นลบ ควรตรวจซ้ำอีกครั้งเมื่อ 6 สัปดาห์หลังสัมผัสโรค การตรวจเลือดทุกครั้งควรดูผลเลือดควบคู่กับผลเลือดที่เจาะครั้งแรกด้วยเสมอ
กรณีที่ผลเลือดทุกครั้งให้ผลลบแสดงว่า ไม่มีการติดเชื้อหัดเยอรมัน แต่ถ้าตรวจครั้งแรกให้ผลลบและครั้งต่อไปให้ผลบวก แสดงว่า มีการติดเชื้อ ซึ่งแพทย์จะแนะนำเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดกับทารกในครรภ์และอาจพิจารณาให้ยุติการตั้งครรภ์
การป้องกันโรค
โรคหัดเยอรมันสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งอยู่ในวัคซีนรวม 3 โรค วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) คือ สามารถป้องกันโรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน ได้ภายในเข็มเดียวกัน วัคซีนที่ใช้สร้างจากการนำเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง เมื่อฉีดแล้วจะทำให้ร่างกายคนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นช้าๆ และขึ้นสูงสุดในสัปดาห์ที่ 6-8 หลังฉีดวัคซีน
สำหรับเด็กเล็ก วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์นี้ สามารถฉีดเข็มแรกให้แก่เด็กตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และฉีดเข็มที่สองเมื่อเด็กอายุ 4-6 ปี สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสหัดเยอรมันก็สามารถฉีดวัคซีนดังกล่าวได้
สำหรับผู้ใหญ่ ที่จำประวัติการฉีดวัคซีนในอดีตไม่ได้ ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคแล้ว ทั้งจากการได้รับวัคซีนหรือจากการติดเชื้อมาแล้วในอดีต ในปีพ.ศ.2547 ที่ จ.เชียงราย ชลบุรี อุดรธานี และนครศรีธรรมราช ได้มีการศึกษาพบว่า ประชากรที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้แล้วถึงร้อยละ 93 ด้วยเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ในผู้ใหญ่ที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนในอดีต
สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ล่วงหน้าก่อนที่จะตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน
สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ห้ามฉีดวัคซีนชนิดนี้เด็ดขาด
นอกจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย ถ้าไอให้ใช้หน้ากากอนามัย หรือใช้มือปิดปากและจมูก และควรหมั่นล้างมือบ่อยๆ
โรงพยาบาลกรุงเทพ
โทร.1719