
สุดเขตลพบุรี ที่ซับลังกา
ชวนเที่ยว : สุดเขตลพบุรี ที่ซับลังกา โดย...นพพร วิจิตร์วงษ์ www.oknation.net/blog/vickie
จังหวัดลพบุรี เมืองที่ราบลุ่มภาคกลาง ปีนี้ รองรับน้ำเยอะแยะ จนหลายท้องที่จมอยู่ใต้บาดาล ส่วนหนึ่งจากน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดทางตอนเหนือ คือ นครสวรรค์ อีกด้านก็ทะลักมาจากชัยนาท ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง เป็นน้ำป่าที่ทะลักลงมาจากเขาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ตั้งอยู่ที่บ้านลังกาเชื่อม ต.กุดตาเพชร อ.ลำสนธิ มีพื้นที่เกือบแสนไร่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงแค่ 140-864 เมตร แต่ที่นี่ถือเป็นต้นน้ำ ของลำน้ำสายเล็กๆ สายหนึ่งของแม่น้ำป่าสัก อยู่ในหุบเขาระหว่าง "เขาพังเหย" ที่กั้นแบ่งระหว่างจ.ลพบุรี กับชัยภูมิ และ “เขารวก” เทือกเขาหินปูนด้านใต้สุดของทิวเขาเพชรบูรณ์
ซับลังกา มีชื่อมาจาก แหล่งน้ำซับ ที่มีต้นลังกา ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีเส้นใยเหนียวขนาดว่านำมาทำเสื่อได้ แต่ไฮไลท์ในมุมท่องเที่ยวของป่าผืนนี้ กลับไปอยู่ที่กล้วยไม้ป่า “รองเท้านารีเหลืองปราจีน” ที่ขึ้นอยู่บนหลังคาถ้ำ กลางดงต้นจันทน์ผา และดงกระเจียว แม้จะไม่มาก แต่มีขนาดและสีสันหลากหลาย และเป็นคนละแบบกับฝั่งป่าหินงามหรือไทรทองของชัยภูมิ รวมถึงธารน้ำตก และเส้นทางเดินป่าระยะสั้น ที่มีความหลากหลาย
ซับลังกาจัดเป็นป่าใกล้กรุง ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร รวมเบ็ดเสร็จ 260 กิโลเมตร ติดเขตแดน อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ จากกรุงเทพฯ เข้าไปตามเส้นทางถนนพหลโยธิน ผ่านสระบุรี ไปตามทางหลวงสาย 21 ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าชัยบาดาล ไปตามทางหลวงสาย 205 ยึดเส้นทางหลักเป็นสำคัญ ผ่านเขตห้ามล่าเขาสมโภชน์ก่อน จากนั้นไปอีกไม่ไกล ก็ถึงตลาด "หนองรี” ตลาดใหญ่สุดท้ายก่อนแยกเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา
หลังมื้อเช้า ตระเตรียมเสบียงกันเสร็จสรรพ จากตลาดใหญ่ แต่ต้องไปเช้าๆ ไม่งั้นก็หาซื้ออาหารสดไม่ได้อย่างที่ใจอยาก จากนั้น มุ่งหน้าไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ที่อยู่ห่างออกไปราว 40 กม. ปัจจุบันถนนลาดยางค่อนข้างดี ก่อนถึงที่ทำการเขตฯ จะมีทางแยกเข้าไปอ่างเก็บน้ำห้วยประดู่ ที่นี่เงียบสงบ มีบ้านพัก แต่ก็ต้องติดต่อกับทางเขตฯ ก่อนล่วงหน้า
ที่หน่วยห้วยประดู่ นอกจากอ่างเก็บน้ำบรรยากาศชิล ชิล แล้ว หากใครมีพลังเหลือเฟือ ก็เดินป่าขึ้นไปเที่ยวชมถ้ำ ดูวิวป่า วิวเมืองจากมุมสูงได้ แค่เดินป่าพอหอบ กับระยะความชันในช่วงสุดท้าย ฉันเคยขึ้นไปแค่ถ้ำพระนอก ส่วนถ้ำสมุยกุยที่อยู่สูงขึ้นไป ฉันของบาย เพราะความไม่ชอบค้างคาว ส่วนคราวนี้ ขอแค่ไปนั่งเล่นริมน้ำกันพอหายเหนื่อย ก่อนจะเดินทางไปที่ทำการเขตฯ
ออกจากห้วยประดู่ค่อนบ่าย ไปถึงที่ทำการเขตฯ ที่ติดต่อไว้ล่วงหน้า เพราะการเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าไม่ว่าที่ไหนๆ ต้องทำหนังสือขออนุญาตก่อน
ก่อนหน้านี้ ถ้าจะไปเที่ยวที่ซับลังกา ยังสามารถเข้าไปนอนริมห้วยพริกในราวป่าได้ แต่หลังจากที่มีการปล่อยช้างคืนสู่ป่า เจ้าหน้าที่เลยไม่อนุญาตให้เข้าไปนอนเพื่อความปลอดภัย แถมใครจะเข้าไปเที่ยวป่าจะต้องจ่ายค่านำทางเพิ่มให้แก่ควาญช้าง ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องจ้างมาคอยดูแล แต่เราว่ามันเป็นภาระของเรามากกว่า... ฮา
เมื่อนอนในป่าไม่ได้ ก็พักที่บ้านพักตรงที่ทำการเขตฯ ซึ่งก็กว้างขวาง สะดวกสบายไปอีกแบบ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะได้เข้าป่ากันแต่เช้า
ส่วนใหญ่ถ้าคนชอบถ่ายรูป ก็มักจะไปกันในช่วงต้นฝน ที่กระเจียว และรองเท้านารีเหลืองปราจีน ออกดอกช่วงประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม แต่ถ้าไปพักผ่อนนอนเล่นแถวที่ทำการเขตฯ ล่ะก็ได้ตลอดทั้งปี ขอแค่ตรวจสอบก่อน จะได้ไม่ผิดหวังเพราะไปชนกับคณะที่มาออกค่าย
วันรุ่งขึ้น พกน้ำ พกเสบียง ขึ้นรถอีแต๊กที่มารอรับ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ พากันเดินทางเข้าราวป่า ซึ่งปัจจุบัน ปากทางเข้ายังต้องมีสัญลักษณ์เขตช้าง ป่าสองข้างทางยังน่าสนใจ กับฝั่งขวามือที่จะเห็นทิวเขาเส้นตรง ราวกับใช้ไม้บรรทัดวัด แล้วตัดมา นั่นแหละ ... ทิวเขาพังเหย ที่เป็นเหมือนเส้นแบ่ง จ.ชัยภูมิ กับลพบุรี และฝั่งตรงข้ามเขาพังเพย ก็เป็นดงกระเจียวที่ขึ้นชื่อ “ป่าหินงาม”
รถอีแต๊กไปส่งเราได้แค่สุดทาง ที่ห้วยพริก จากนั้นพลพรรคเรา 10 คน ก็ต้องเดินเท้ากันต่อ ไปแบบไม่แบกเป้ ก็เดินได้สบายไปอีกแบบ ลัดเลาะตามแผนที่ ผ่านต้นยางนาขนาดยักษ์ที่ล้มทอดอยู่หลายปีดีดัก ผ่านพงไม้รกๆ ในระยะแรก แต่พอพ้นเข้าเขตต้นไม้ใหญ่ คราวนี้ทำเอาพวกเราเดินไป หยุดไป ต้องก้มๆ เงยๆ กับการถ่ายรูปเห็ดแชมเปญ หรือเห็ดถ้วย ที่เริ่มมีให้เห็นยามฝนมา
ระหว่างทางต้นไม้ใหญ่ มีป้ายสื่อความหมาย ที่นี่มีทั้งต้นไทร ที่ได้ชื่อว่าเป็น "นักบุญแห่งป่า นักล่าแห่งพงไพร” หรือจะเป็น “ต้นพระเจ้าห้าพระองค์” ที่มีขนาดใหญ่หลายคนโอบ ซึ่งมีพิเศษแตกต่างก็ตรงเมล็ดข้างในผล ที่กลมๆ ค่อนข้างแบน แต่ลวดลายที่ปรากฏเหมือนพระ 5 องค์หันด้านเศียรเข้าหากัน มหัศจรรย์ธรรมชาติ ที่น่าทึ่ง
ข้ามธารน้ำที่มีเป็นระยะ รวมไปถึงทางลอดใต้โพรงหิน ที่ดูเหมือนหินก้อนยักษ์ พิงทับอยู่กับอีกก้อนหนึ่ง มีธารน้ำด้านใต้ ทางเดียวที่จะไปได้ก็ต้องเกาะผนังหินเป็นสไปเดอร์แมน สไปเดอร์วูแมน เรียงๆ กันไป
โผล่ออกไปอีกด้านก็เจอกับน้ำตกสายเล็ก ที่เราต้องโหนตัวฝ่าขึ้นไป ปีนขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง นึกว่าทางเดินจะสบายขึ้นที่ไหนได้ ยังมีธารน้ำตกย่อยๆ ให้ปีนป่ายเป็นระยะๆ บางจุดถ้าพลาดก็มีเปียกค่อนตัวเป็นอย่างต่ำ แถมบางจุดก็ต้องปีนไปตามรากไม้ใหญ่ เดินกันไปจนเหนื่อยล้า ดูเวลาแล้ว กินข้าวเที่ยงดีกว่า ทำเลก็ใช่ว่าจะไกล อยู่ริมธารน้ำที่เดินนั่นแหละ
กินข้าวเสร็จ เล่นน้ำต่อนิดหน่อย เพราะเดี๋ยวเราจะต้องปรับโหมดจากการเดินเป็นปีนขึ้นหลังคาถ้ำกันแล้ว ทางขึ้นชันเอาการ และยังเป็นหินแหลมๆ อุดมไปด้วยต้นจันทร์ผาขนาดใหญ่ ที่พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า อายุอานามไม่ต่ำกว่า 50 ปี บางต้นเป็น 100 ปี จนต้องเตือนๆ กัน ใครทำหนักต้องมายืนแทนเชียวนะ
ทุกคนโหนตัวขึ้นด้วยความระวัง เพราะพลาดนั่นหมายถึงบาดเจ็บจากหินแหลมคม ไม่นานก็ได้ยินเสียงเพื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนกรี๊ดกร๊าดขึ้นมา เจอแล้วรองเท้าคู่กระจิ๋วหลิว "รองเท้านารีเหลืองปราจีน" คราวนี้มาจังหวะดี เจอหลายคู่ หลายข้าง ทั้งแบบรองเท้าหัวแหลม หรือหัวมนทีเดียว ตอนนี้ มุมใครมุมมัน มีหลายกอให้เลือก ถ่ายรูปกันจนพอใจ ชมวิวกันบนหลังคาถ้ำกันพักใหญ่ๆ ค่อยได้เวลาปีนลง
ขากลับนี่ เดินกันแป๊บเดียว แป๊บเดียวจริงๆ เพราะเดินย้อนทางเดิม เลยไม่ค่อยตื่นตาให้ต้องหยุดถ่ายรูป เหมือนขาไป โผล่ออกมาชายป่า ตะวันยังสูงโด่ง เราเดินกันรวดเดียวไปถึงแคมป์พักเจ้าหน้าที่ที่อยู่ห่างออกมาจากห้วยพริกพอสมควร พักเหนื่อย ถ่ายรูปเล่นกับเจ้าผีเสื้อกันพักใหญ่ ก็ขึ้นรถอีแต๊ก กระแด๊ก กระแด๊ก ออกจากราวป่า ก่อนอำลามุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่
ซับลังกา ผืนป่าเล็กใกล้กรุง แม้วันนี้แบกรับภาระใหญ่หลวง ทั้งผืนป่าและสัตว์ป่าโดยเฉพาะช้าง แต่ความหลากหลายของระบบนิเวศ และสวยงามของผืนป่าแห่งนี้ ก็ยังยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวฉันมิตร
------------------------------
(ชวนเที่ยว : สุดเขตลพบุรี ที่ซับลังกา โดย...นพพร วิจิตร์วงษ์ www.oknation.net/blog/vickie )