ไลฟ์สไตล์

พิพิธภัณฑ์กับคืนวันในอดีตของสายไหม

พิพิธภัณฑ์กับคืนวันในอดีตของสายไหม

30 ต.ค. 2554

คอลัมน์เที่ยวนี้ขอเล่า : พิพิธภัณฑ์กับคืนวันในอดีตของสายไหม โดย...กาญจนา หงษ์ทอง

       อย่าเพิ่งพูดคำว่ายิ่งใหญ่ ถ้ายังไม่ได้พาสองเท้าไปทาบลงบนแผ่นดินจีน และคุณไม่มีทางรู้เลยว่าจีนนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้ายังไม่ได้ดั้นด้นไปถึง มณฑลซินเจียง ไม่ได้ใหญ่อย่างเดียว แต่ไกลสุดๆ นี่ถ้าไม่ได้สายการบินไชน่า เซาเทิร์นแอร์ไลน์ (0-2677-7388) ช่วยพาเหาะมาหย่อนลงที่อูรุมฉี เห็นทีคงนั่งรถไฟนานจนริดสีดวงถามหา

       อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่ แน่นอนเพราะอยากตามรอยประวัติศาสตร์และอารยธรรมบนเส้นทางสายไหม และคงไม่มีที่ไหนที่จะฉายภาพในอดีตได้ดีเท่า พิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลซินเจียง อีกแล้ว
 
       ตอนนั่งแท็กซี่ไปพิพิธภัณฑ์ ไม่ลืมปรับเข็มนาฬิกาให้เข้ากับที่นี่ เรื่องเวลานี่แหละเป็นปัญหานักเชียว เพราะชาวซินเจียงมักจะยึดเวลาตามท้องถิ่นที่เรียกว่า Xinjiang Time ซึ่งโดยปกติจะช้ากว่าเวลาของปักกิ่งราว 2 ชั่วโมง แต่ความที่อยู่บนแผ่นดินจีน ถึงยังไงก็ต้องใช้เวลาอ้างอิงกับปักกิ่ง  ตรงนี้เลยสร้างปัญหาให้นักท่องเที่ยวเสมอ ที่ต้องถามย้ำทุกครั้งว่า Xinjiang Time หรือ  Beijing Time  ต้องถามให้ชัวร์ จะได้ไม่ตกรถ ตกเรือบิน แม้กระทั่งเวลาเปิดปิดพิพิธภัณฑ์ยังต้องเช็กเลย กลัวจะพลาด
 
      ยืนเก้ๆ กังๆ หน้าพิพิธภัณฑ์อย่างไม่แน่ใจนักว่าเขาจะอนุญาตให้ถ่ายภาพด้านในได้หรือเปล่า ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้เขาอนุโลม เพราะได้ยินมาว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ที่จริงใครจะหาที่พักแถวนี้ก็ดูเหมือนมีโรงแรมหลายแห่งเหมือนกัน คลิกเข้าไปเช็กดูได้ที่อโกด้า (www.agoda.co.th)
 
     มองจากด้านนอกดูเป็นอาคารที่ทันสมัยใหม่เอี่ยม ที่จริงสร้างตั้งแต่ปี 1953  ด้านในเขาว่ามีข้าวของเอาไว้ให้ดูมากกว่า 5 หมื่นชิ้น  มีทั้งส่วนที่ขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีทั่วทั้งมณฑลซินเจียง  รวมทั้งของใหม่ที่ทำขึ้นมาเพื่อแสดงภาพจำลอง
 
      เรื่องการคุมเข้มรักษาความปลอดภัยก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์  ก็ต้องยอมรับว่าเขาเข้มจริงๆ อย่างที่รู้กันว่าที่นี่เป็นพื้นที่อ่อนไหวทางการเมือง ถ้ายังจำกันได้เพิ่งเกิดการจลาจลครั้งรุนแรงในซินเจียงเมื่อปี 2552 ที่ผ่านมานี้เอง 
 
      ทั้งหมดนี้สืบเนื่องจากความขัดแย้งทางชนชาติระหว่างอุยกูร์หรือเหวยหวูเอ่อร์ กับชาวจีนฮั่น ที่ปล่อยให้ความขัดแย้งค่อยๆ ปะทุขึ้นจนกลายเป็นความรุนแรง  ชาวจีนฮั่นในเมืองอูรุมฉีเลยยกพวกไปเล่นงานคนมุสลิม ครั้งนั้นทางการจีนรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเกือบ 200 คน แต่ชาวเหวยหวูเอ่อร์บอกว่าพวกเขาตายมากกว่านั้นเยอะ และมีคนบาดเจ็บร่วม 2,000 คน ครั้งนั้นนับว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชาติรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของจีนก็ว่าได้ 
 
     ถึงแม้เวลาจะผ่านไปร่วม 2 ปีแล้ว แต่รังสีแห่งความตึงเครียดก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่ในบางมุม ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ตลาดและย่านการค้าของพวกเหวยหวูเอ่อร์ รวมถึงตามสถานที่สำคัญอย่างพิพิธภัณฑ์ที่กำลังจะเดินเข้า
 
     พอผ่านจุดตรวจกระเป๋า ตรงลานกว้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะมีแผนที่โชว์ให้เห็นว่ามณฑลซินเจียงใหญ่ขนาดไหน และสภาพภูมิประเทศเป็นยังไง จากนั้นใครจะเข้าห้องไหนก่อนก็แยกย้ายได้ตามอัธยาศัย
 
     จัดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงได้อย่างน่าสนใจมาก แค่ห้องแรกที่อยู่ชั้นล่างทางเข้าเขาก็ขนทรายจริงๆ มาไว้ใต้ทางเดินที่พื้นเป็นกระจกใส เสมือนว่ากำลังพาเราย้อนไปหาอดีตเพื่อสำรวจร่องรอยอารยธรรมบนเส้นทางสายไหม รอบด้านก็ตกแต่งบรรยากาศเป็นทิวเขาโดยรวม  ราวกับว่าเรากำลังรอนแรมในทุ่งทะเลทราย
 
     ถัดมาไม่ไกลคราวนี้เป็นการแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบบนเส้นทางสายไหม ไม่ว่าจะเป็นพวกหม้อชามรามไห เครื่องปั้นดินเผา  เครื่องทองสัมฤทธิ์ เครื่องทองเหลือง เครื่องประดับต่างๆ  บางส่วนเป็นผ้าโบราณทอมือ พรมเก่าแก่  รูปปั้นทหารขี่ม้าตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง และบางมุมทำเป็นหุ่นจำลองภาพวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยก่อน
 
    ละจากห้องนี้ คราวนี้เป็นห้องที่จำลองการแต่งกาย การใช้ชีวิตตามกระโจมของชาวเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในเขตซินเจียง นั่นเพราะในเขตมณฑลซินเจียงมีชนเผ่าเกือบ 50 เผ่า แม้วิถีชีวิตความเป็นอยู่  ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องดนตรี และเครื่องแต่งกายจะใกล้เคียงกัน แต่พอดูลึกลงไปในรายละเอียดก็จะเห็นว่า แต่ละเผ่ามีความแตกต่างกัน
 
    แต่โดยรวมๆ ก็ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่กระโจมที่เขาทำเท่าขนาดอยู่จริง ทั้งลวดลายด้านนอก และการตกแต่งภายในกระโจม ชุดของชาวเผ่า ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยภายในครัวเรือน ทุกอย่างทำเสมือนจริง ขนาดแพะแกะ จามรีและม้ายังจำลองมาเท่าตัวจริงเลย
 
     น่าสนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าแต่ละเผ่ามาก เพราะบางเผ่าก็มีวิธีเลี้ยงลูกโดยใช้วิธีผูกเปลสูงๆ แต่ที่สีสันฉูดฉาดหน่อยก็เป็นพวกชุดของสาวๆ ชาวเผ่า สวยน่าใส่จริงๆ  ฝ่ายชายก็จะต่างกันตรงหมวก  บางโซนของพิพิธภัณฑ์เขาเลยโชว์หมวกและรองเท้าของชาวเผ่าต่างๆ เอาไว้ให้ดูกันด้วย  พวกอานม้า และแส้หนังลา ก็นำมาแสดงด้วย  อีกจุดหนึ่งที่น่าดูคือพวกเครื่องดนตรีที่แต่ละชิ้นดูแปลกตา

      ออกจากห้องนี้ฉันก็เดินขึ้นไปสู่ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์  ซึ่งมีอีกหลายห้อง ทั้งห้องที่มีแผนผังเส้นทางการค้าในยุคเก่าแก่ มีภาพบอกเล่ากองคาราวานของบรรดาพ่อค้าที่ขี่อูฐฝ่าทุ่งแล้งในทะเลทราย บางมุมก็แสดงการทอผ้าไหมของคนสมัยก่อน บางห้องเป็นการจำลองวิวทิวทัศน์และภูมิทัศน์อันหลากหลายในแถบซินเจียงที่มีทั้งทะเลสาบและทะเลทราย  บางห้องก็เป็นหุ่นเด็กที่แต่งตัวในชุดชนเผ่าต่างๆ ยืนจับมือกันอยู่ ตรงนี้ทำให้เห็นว่าชุดของพวกชนเผ่าช่างมีสีสันเหลือเกิน 

      ห้องที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ประจำพิพิธภัณฑ์คือ ห้องที่มีซากมนุษย์โบราณ ว่ากันว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวยุโรปแต่มาขุดเจอในซินเจียง ซึ่งอายุหลายพันปี และซากเด็ก  รวมถึงมัมมี่ของขุนศึกแห่งเมืองโบราณเกาชางด้วย
 
      มุมหนึ่งที่ผู้คนแวะเวียนเข้าไปดูกันไม่ขาดสาย คือซากศพของหญิงสาวในตู้กระจกที่คะเนกันว่าอายุมากกว่า 4 พันปี ที่ขุดค้นพบกลางทะเลทราย แม้เป็นซากศพแต่ดูจากดวงหน้า สันจมูก เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับของเธอแล้ว  พอจะเดาได้ว่ายามมีลมหายใจ เธอคงงดงามอยู่ไม่น้อย
  
     ซากศพแห้งโบราณพวกนี้ เขาเขียนอธิบายเอาไว้ว่าศพแห้งเองตามธรรมชาติ ไม่ได้กระบวนการหรือขั้นตอนแบบมัมมี่ในอียิปต์ แต่ที่ซากศพแห้งแบบนี้อาจจะเป็นเพราะภูมิประเทศแถบนี้แห้งแล้งจัด ฝนก็แทบไม่มี  และเป็นไปได้ว่าอาจจะฝังในระดับความลึกที่เหมาะสม  นักโบราณคดีบางคนถึงขนาดวิเคราะห์ว่า ฤดูกาลก็มีส่วน เพราะถ้าฝังศพในช่วงเดือนพ.ค.ไปจนถึงก.ย. จะเป็นช่วงที่กระแสลมค่อนข้างแรง ศพก็เลยแห้งเร็ว
  
     ออกจากพิพิธภัณฑ์ด้วยความรู้สึกว่า นี่ช่างเป็นสถานที่ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของผู้คนและชีวิตความเป็นอยู่ในเขตซินเจียงได้อย่างหมดเปลือก  แถมยังฉายภาพให้เห็นเส้นทางการค้าอันเก่าแก่ได้อย่างแจ่มชัด

      พิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลซินเจียง จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในอูรุมฉีที่ผู้มาเยือนทุกคน ควรจะแวะไปถ้าหากอยากปูพื้นเรื่องราวบนเส้นทางสายไหม จะได้ออกรอนแรมมณฑลซินเจียงอย่างสนุกและอัดแน่นไปด้วยรสชาติอร่อยๆ ของสายไหม

----------------------------
(คอลัมน์เที่ยวนี้ขอเล่า : พิพิธภัณฑ์กับคืนวันในอดีตของสายไหม โดย...กาญจนา หงษ์ทอง)