ยลวิถีลาว-ไทยในวัดปทุมวนารามฯ
ยลวิถีลาว-ไทยในวัดปทุมวนารามฯ
ในหน้าประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ "วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร" ถูกจารึกในฐานะศาสนาสถานที่อยู่ในเขตกระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ นับเป็นเหตุการณ์ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย ต่างจากช่วงเวลาถัดมาปี 2552 บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด นำโดย บุษบา จิราธิวัฒน์ ได้เริ่มดำเนินการบูรณะพระอุโบสถของวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ในส่วนโครงสร้างฐานชุกชี งานลงรักปิดทอง งานปูนปั้น ซุ้มประตูหน้าต่าง และภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ ซึ่งบัดนี้การบูรณะแล้วเสร็จ จึงเป็นที่มาของการจัดงาน "สมโภชพระอุโบสถวัดปทุมวนารามฯ" ครั้งใหญ่ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 รวมทั้งร่วมสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทย
ทั้งที่จั่วหัวเอาไว้ว่า "ยลวิถีลาว" ทว่าถัดมาอีกไม่กี่บรรดากับพูดถึงร่วม "สืบสานศิลปวัฒนธรรไทย"...ดูจะขัดแย้ง ผู้เขียนจึงใคร่จะขอเล่าแจ้งในบรรทัดต่อไปนี้ เริ่มจาก วัดปทุมวนารามฯ สร้างขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งทรงผนวช และได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2400 ให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี พระราชทานเป็นพระอารามใน สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งมีพระราชโอรส คือ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ต่อมาได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งนั้น รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญ "พระสายน์" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางมารวิชัย ที่ชาวลาวนับถือมายาวนาน หน้าตักกว้าง 1 ศอก 1 นิ้ว สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ในปี พ.ศ. 2109 อายุกว่า 455 ปี มาจากกรุงเวียงจันทน์ เพื่อประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้ จึงมีชาวลาวที่เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมากราบไหว้บูชา จนกลายเป็นชุมชนของคนเวียงจันทน์ในบริเวณที่ตั้งวัดแห่งนี้ตั้งแต่สมัยนั้นและหลงเหลืออยู่จวบจนถึงทุกวันนี้ และแน่นอนว่าเภายใต้สถาปัตยกรรมของโบสถ์ก็ดี หรือแม้แต่จิตรกรรมฝาผนังล้วนเป็นฝีมือช่างชาวสยาม แต่ในขณะเดียวกันก็ย่อมต้องมีกลิ่นอายของวิถีชีวิตผู้คนในชุมชนสอดแทรกได้ให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติ
ดูอย่างงานสมโภชใหญ่ในครั้งนี้ หลังจากที่เคยจัดมาแล้วเมื่อปี 2520 ซึ่งภายในงานยังคงสืบสานวิธีการสักการบูชาตามแบบโบราณให้แก่ผู้มาร่วมงานสมโภช นับตั้งแต่ "ขันหมากเบ็ง" หรือเรียกอีกชื่อว่า "บายศรีหมากเบ็ง" สำหรับใช้สักการบูชา "พระสายน์" ซึ่งประดิษฐ์จากใบตองซ้อนกันเป็นรูปเจดีย์ แบ่งเป็นสี่มุม นับรวมยอดเจดีย์ได้ 5 มุม เปรียบได้กับหลักเบญจขันธ์ของพระพุทธศาสนา ที่พูดถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่หมายถึงเครื่องพิจารณาเตือนตน ทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์การกราบไหว้บูชาด้วยเบญจางคประดิษฐ์
นอกจากนี้ยังยังมีการรื้อฟื้นประเพณีโบราณของชุมชนชาวลาวอย่างพิธีขบวนแห่ "ปราสาทผึ้ง" ว่ากันว่าหายสาบสูญไปกว่า 70 ปี ที่สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาอย่างยิ่งยวดของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา ผ่านขั้นตอนการรังสรรค์ตัวปราสาทผึ้ง หรือ "ต้นผึ้ง" จากกาบกล้วยและไม้ไผ่ นำมาประดิษฐ์ขึ้นเป็นโครงสร้างก่อนจะใช้ขี้ผึ้งที่ผ่านการบรรจงจับจีบจนเป็นดอกเพื่อระดับเป็นลวดลายบนตัวปราสาท สำหรับถวายเป็นพุทธบูชาในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยการแห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ หลังจากนั้นก็จะเก็บไว้ 7 ราตรี (7 คืน) พระสงฆ์ก็จะนำขี้ผึ้งจากตัวปราสาทไปหล่อเป็นเทียนสำหรับใช้ในอุโบสถเพื่อไหว้พระประทาน ตามความเชื่อว่าหากผู้ใดได้ร่วมพิธีนี้จะได้บุญกุศลและอานิสงค์สูงสุด ไปจุติสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ตอกย้ำเรื่องราวของศิลปวัฒนธรรมของชนชาติบ้านใกล้เรือนเคียงได้เป็นอย่างดี นั่นคือ การแสดงมหรสพที่เน้นการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ผ่านนาฎกรรมร่วมสมัยซึ่งได้ศิลปินแห่งชาติหลายท่านมาร่วมสืบสาน ได้แก่ อ.รัตติยะ วิกสิตพงศ์ (อาจารย์ผู้ฝึกสอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี), อ.ประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว, อ.นฤมัย ไตรทองอยู่, อ.นฤมล สมุทรโคจร, อ.สุรีย์ อัฏฏะวัชระ, อ.กรรณิการ์ วีโรทัย และ ผศ.คมคาย กลิ่นภักดี จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เริ่มจาก "ระบำจันทกินรี" เป็นบทพระราชนิพนธ์ละครดึกดำบรรพ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย พระราชโอรสองค์ที่ 72 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งเคยทรงประทับอยู่ ณ วังเพชรบูรณ์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดปทุมวนารามแห่งนี้
ส่วน "ฟ้อนหางนกยูง" เชื่อว่าเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาตามวิถีของชาวลาว โดยใช้หางนกยูงเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง ตามความเชื่อที่ว่าเจ้าสัตว์หางงามนี้คือพาหนะของเทพเจ้า ตามด้วย "ระบำดอกบัว" การวาดลวดลายร่ายรำอันงดงามอ่อนช้อยไปบนทำนองเพลงสร้อยโอ้ลาว โดยมีดอกบัวเป็นส่วนประกอบ รวมถึงการละเล่นพื้นบ้านของชาวลาวซึ่งมีเครื่องดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์แห่งลุ่มน้ำโขงมาร่วมบรรเลงกับการแสดง "ฟ้อนแคน" และการฟ้อนรำแบบประยุกต์อ่อนช้อย สวยงามในชื่อชุด "นาฏลีลาฟ้าหยาด" โดยคำว่า "ฟ้าหยาด" เป็นชื่อของธิดาแห่งเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ซึ่งปัจจุบันก็คือ เมืองน้ำดำ หรือ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทางภาคอีสานของบ้านเรานี่เอง
งานเฉลิมฉลองสมโภชพระอุโบสถครั้งนี้ไม่เพียงทำให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของวัดสำคัญซึ่งผ่านกาลเวลามาหลายสมัย ผ่านกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมอันหลากหลายที่...ผู้ร่วมงานยังมีโอกาสได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการจุดเทียนชัยถวายพระพรอีกด้วย