แห่พระแข่งเรือ'ขึ้นโขนชิงธง'ที่หลังสวน | คมชัดลึก

        5 ต.ค.54  นายชยาวุธ จันทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานการแถลงข่าวงาน หนึ่งเดียวใน สยาม...ประเพณีแห่พระแข่งเรือขึ้นโขนขิงธง ชิงโล่พระราชทาน ประจำปี2554 หรือ 168 ปี แห่งการสืบสานมรดกวัฒนธรรมแห่งลุ่มน้ำหลัง ซึ่งจะมีขึ้นตั้งแต่ วันที่ 10 -16 ต.ค.นี้ ที่สนามแข่งขันกลางภาคใต้แม่น้ำหลังสวน

        ทั้งนี้ กิจกรรมประกอบไปด้วย มหกรรมสินค้าโอท็อปและของดีเมืองชุมพรทุกวัน วันที่ 12 ต.ค.54 เป็นการเปิดเมืองกินฟรี เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น.บริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองหลังสวน ไปจนถึงที่ทำการไปรษณีย์หลังสวน เป็นระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร พร้อมเวทีการแสดงเป็นระยะ และกีฬาพื้นบ้าน วันที่ 13 ต.ค.54 เป็นการทำบุญตักบาตรเทโวและทอดผ้าป่ากลางบ้าน ขบวนแห่พระและโล่พระราชทาน ขบวนพาเหรดเรือ และระหว่างวันที่ 12-16 ต.ค.54 ขอเชิญชม การแข่งเรือยาวขึ้นโขนชิงธง

        สำหรับประเพณีแห่พระแข่งเรือฯ ของชาวหลังสวน มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานสืบต่อกันมาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว โดยจะมีขึ้นในช่วงวัน ออกพรรษา (แรม 1 ค่ำเดือน11) ของทุกปี โดยในตอนเช้าจะมีการทำบุญตักบาตร การแห่เรือพระบกและเรือพระน้ำ ขบวนพาเหรดเรือยาว ซึ่งจะมีการแห่โล่และถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ จากนั้นจะเป็นการเริ่มการแข่งขันเรือยาว ประเพณีที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือการใช้วิธีการปีนโขนเรือเพื่อคว้าหวายแถบธงเป็นเกณฑ์ตัดสินการเข้าเส้นชัย

        อีกทั้ง เรือที่จะชนะการแข่งขันในแม่น้ำหลังสวนที่สมบูรณ์นั้น ต้องเป็นเรือที่นายหัวเรือสามารถคว้าแถบธงได้ ก่อนโดยไม่ตกน้ำ นับเป็นการสร้างสีสัน เพิ่มความสนุกสนานให้แก่กองเชียร์ ถือว่าเป็นทั้ง “ศาสตร์” และ“ศิลป์” เป็นหนึ่งเดียวในสยาม... กิจกรรมภายในงานมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นเอกลักษณ์และมีผู้ให้ความสนใจมาก คือวันปิดเมืองกินฟรี ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ของผู้ประกอบการร้านอาหาร ชุมชน กลุ่มองค์กรต่างๆของอำเภอหลังสวน บริเวณถนนเขาเงินและถนนหลังสวน

        นอกจากนี้เทศบาลตำบลบางริ้น ร่วมแถลงข่าวการจัดงานแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้นโขนชิงธง ครั้งที่ 3 ประจำปี 2554 ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างวันที่ 18- 20 พ.ย.54 ณ ฝายคลองบางริ้น ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา84พรรษา เพื่อสร้างความสามัคคีและส่งเสริมประเพณีภูมิปัญญาไทยให้ทุกคนเกิดความภูมิใจ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดระนองด้วย