
บ้าน-บูทีคอพาร์ตเมนต์ -บูทีคโฮเทล ที่ไม่บานต้านวิกฤติ
บ้าน-บูทีคอพาร์ตเมนต์ -บูทีคโฮเทล ที่ไม่บานต้านวิกฤติ:บ้านไม่บาน โดย.. อ.เชี่ยว
อีกไม่นานก็จะถึงวันที่ 11 ตุลาคม วันสำคัญของชาว “คนรักบ้าน” ทั่วประเทศ ซึ่งกลายเป็น “ประเพณีประจำปี” ที่แฟนๆ จะได้มีโอกาสมาพบปะทักทายกัน และรับฟังการบรรยายที่เป็นสารประโยชน์ ซึ่งผมได้พยายามเตือนสติหมู่เฮาชาว “คนรักบ้าน” ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า ใน “โลกไร้พรมแดน” ที่อะไรเกิดขึ้นอีกซีกโลกหนึ่ง หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็สามารถส่งผลกระทบแผ่ขยายกระจายออกไปในช่วงเวลาอันสั้น ผมได้ย้ำเสมอให้สังคม “ไทย” ตระหนักถึงทั้ง “ศึกนอก-ศึกใน” ที่กำลังเผชิญอยู่
“ศึกภายใน” คือเรากำลังเผชิญกับ “วิกฤติภัยทางธรรมชาติ” ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาภัยทางธรรมชาติต่างๆ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นและมากระหน่ำซ้ำเติมผืนแผ่นดิน “ไทย” ถี่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สังคมชาว “คนรักบ้าน” ก็กำลังเผชิญหน้ากับ “วิกฤติทางเศรษฐกิจ” ตกอยู่ในสภาวะ “ข้าวยากหมากแพง น้ำมันและทองคำแพง แต่หุ้นตก” นี่ยังไม่รวมถึงอัตรา “เงินเฟ้อ” และการ “ว่างงาน” ที่มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น ตลอดจนการไหลทะลักเข้ามาของบรรดา “แรงงานต่างชาติราคาถูก” ที่ในปัจจุบันแรงงานต่างชาติเข้ามาอยู่กันเกลื่อนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
อีกทั้งยังไม่นับรวมถึงสินค้าราคาถูกที่มีทั้งสินค้าภาคอุตสาหกรรมตลอดจนสินค้าการเกษตรที่ไหลทะลักเข้ามา เป็นผลให้บรรดา “เอสเอ็มอี” ของ “ไทย” ล้มกันระเนระนาด บรรดาผู้ประกอบการคงจะต้องเหนื่อยกันละครับคราวนี้ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือความพยายามในการก่อตั้ง “ศูนย์สินค้าขายส่ง” ของ “จีน” บนพื้นที่กว่า 65 ไร่ ริมถนนบางนา-ตราด กม.10 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และมีผู้ประกอบการจาก “จีน” กว่า 1 หมื่นราย ที่พร้อมจะขายสินค้าทุกรูปแบบ ทุกราคา ทุกคุณภาพ ผมเชื่อว่าหากเราไม่รู้เท่าทันคงสู้เขาไม่ได้ นอกจากนี้ “เสถียรภาพทางการเมือง” ของเราก็ยังไม่นิ่งเท่าไหร่ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ จึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจเผื่อทางถอยเอาไว้
สำหรับ “ศึกภายนอก” หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดที่เราส่งออกเป็นหลัก คือ “ยุโรป” และ “อเมริกา” ต่างตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็น “วิกฤติหนี้สาธารณะ” ใน “ยุโรป” และ “วิกฤติซับไพรม์” ใน “อเมริกา” ซึ่งผมได้ฟันธงลงไปว่าอย่างน้อยก็อีก 2-3 ปีนั่นแหละครับ ที่พอจะลืมตาอ้าปากได้ แม้แต่คนที่คร่ำหวอด และคลุกคลีอยู่กับธุรกิจ “เรียลเอสเตท” อย่างผมมานานกว่า 25 ปี มีโครงการน้อยใหญ่ที่ได้มีโอกาสผ่านมือมากว่า 300 โปรเจกท์ ในบางอารมณ์ก็ยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับอนาคต ในสถานการณ์เช่นนี้จึงคิดทำการ แบบ “พอเพียง” ขอเดินตาม “ศาสตร์พระราชา” ไม่คิดทำการใหญ่ โดยกระจายความเสี่ยงออกไปให้ทั่วทั้งกระดาน
สำหรับการบรรยายในวันที่ 11 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ ผมจะนำเอารายละเอียดของโครงการ “อสังหาริมทรัพย์” น้อยใหญ่กว่า 40 โครงการที่ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะนำมาตีแผ่ “ข้อดี-ข้อเสีย” โดยเริ่มจากโครงการ “บ้านไม่บาน” ในชุด “ญาติเยอะ” ขนาด 12 ห้องนอน, 12 ห้องน้ำ บนพื้นที่ 50 ตารางวา ในราคาบ้าน+ที่ดิน รวมกัน 2.9 ล้านบาท ที่ “พิษณุโลก” โดยใช้ชื่อว่า “บ้านธนเณศวร” เป็นโครงการจริงที่ขายหมดแล้ว และกำลังจะขึ้นโครงการใหม่ รวมไปถึงโครงการ “โฮมออฟฟิศ” ในสไตล์ “K-I”, “K-II” ที่ “บางแสน” และ “ศรีราชา” บนทำเลทองติดถนน “สุขุมวิท” ชื่อว่า “คชาปุรี-ศรีราชา” และโครงการ “K-III”, “K-IV” ที่ “มหาสารคาม” อันเป็นเมือง “ตักสิลา” ของภาค “อีสาน”
ผมจะพาไปเที่ยว “หนองคาย” ไปชมโครงการ “ฮอตแท็ปไม่บาน” ประเภท “เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์กึ่งโรงแรม” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดและกำลัง “ฮอต” สุดๆ จัดได้ว่าเป็นอาคารประเภท “ประโยชน์สูง+ประหยัดสุด” อย่างแท้จริง ที่ชื่อว่า “The Royal Nakara” แล้วจะพาไปที่เมือง “ดอกลำดวน” ก็เป็น “ฮอตแท็ป” ที่ดีที่สุดที่ “ศรีสะเกษ” ชื่อว่า “ศรีลำดวน” ที่เปิดให้บริการแล้ว ก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง และลงมาที่ “ตราด” ข้ามไปที่ “เกาะช้าง” เป็น “บูทีครีสอร์ท” ริมทะเลชื่อ “ชีวาปุรี” ที่เล่าลือกันว่าเป็นเรือนไทยที่สวยที่สุดใน “เกาะช้าง” ตั้งอยู่บนชายหาดที่เป็นธรรมชาติที่สุด มี “ไฮโซ” จากทั่วโลกไปพัก ไม่ว่าจะเป็นนักการธนาคาร นักการทูต นักบริหารสถาบันการเงินและนักลงทุนในตลาดหุ้น ตลอดจนผู้บริหารสายการบินก็นิยมมาพักกัน รวมทั้งมีการคอมเมนท์ผ่านเว็บไซต์ “ทริปแอดไวเซอร์” (www.tripadvisor.com) และเว็บไซต์ “สวัสดี” (www.sawasdee.com) ให้คะแนนเต็มสิบว่าเป็น “สวรรค์บนดิน”
แล้ววกกลับมาที่ “บางแสน” ไปศึกษาหาความรู้กับ “คอนโดมิเนียมไม่บาน” ริม “หาดวอนนภา” ในชื่อ “The Sand” และไปบริเวณ “แหลมแท่น” ในชื่อ “Kotobuki Place” ตลอดจนโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ “เรือนขวัญจิตต์บูทีค” และ “เริงเรย์บูทีค” จะเห็นได้ว่ามีความหลากหลายบรรยายกันไม่หวาดไม่ไหวหรอกครับ ก็อยากจะให้ไปฟังและชมของจริงกันในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ โดยผมจะมาตีแผ่ “ข้อดี ข้อด้อย” ตลอดจนวิธีการแก้ปัญหาของแต่ละโครงการที่เริ่มตั้งแต่ 2-3 ล้านกว่าบาท ที่ “บ้านธนเณศวร” ที่ “พิษณุโลก” ไปจนโครงการที่มีมูลค่า 100 กว่าล้าน “คชาปุรี-ศรีราชา” และ “คชาปุรี-ศรีสารคาม” ขึ้นไปเป็นโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 200 กว่าล้านบาท ที่ “The Sand” และ “Kotobuki Place” และกลับมาที่ “บ้านไม่บาน” ราคา 2-3 แสนบาท ที่สามารถต่อกรกับวิกฤติอันเกิดจากภัยทางธรรมชาติได้ครับ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าพอเดินตามรอยพระบาท “ศาสตร์พระราชา” ที่ว่าด้วยความ “พอเพียง” ก็ไม่เคยเกี่ยงหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็น “บ้านไม่บาน” ต้านภัยธรรมชาติในงบประมาณ 2-3 แสนบาท หรือ “บ้านไม่บาน” ในชุด “ญาติเยอะ” 12 ห้องนอน 12 ห้องน้ำ (ที่แฟนๆ บางท่านเรียก “บ้านไม่บาน” ชุดนี้ว่า “มินิอพาร์ตเมนต์ไม่บาน” ในราคาหลังละ 2-3 ล้านบาท) ตลอดไปจนถึง “เรือนขวัญจิตต์บูทีค” และ “เริงเรย์บูทีค” ที่มีมูลค่า 20-30 ล้านบาท ไปจนถึง “คชาปุรี” ที่ “ศรีราชา”, “ชีวาปุรี” ที่ “เกาะช้าง”, “The Sand” ที่ “หาดวอนนภา” บางแสน และ “Kotobuki Place” ที่ “แหลมแท่น” ซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่า 200-300 ล้านบาท
ในบทสุดท้ายของการบรรยาย ผมจะนำเสนอความฝันเล็กๆ ของผมในฐานะ “หัวขบวน” ของ “คนรักบ้าน” ที่หากไม่ผิดคาดจากแผนงานที่วางไว้ก็จะเป็นโครงการที่มีมูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท เป็นอาคารที่มีความสูงกว่า 120 ชั้น ซึ่งบรรดาโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้อยใหญ่เหล่านี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังในการบรรยายครั้งสำคัญนี้
สำหรับท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายในหัวข้อ “แนวคิด+รูปแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่บานประเภท อาคารพาณิชย์ โฮมออฟฟิศ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม โรงแรมขนาดเล็กเพื่อสู้กับวิกฤติ” ในวันที่ 11 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ ณ "ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” ใน “งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป สำรองจองที่นั่งได้ที่ 0-2245-1399, 0-2644-1478 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.homeloverthai.com นอกจากนั้นทุกท่านที่เข้าร่วมฟังการบรรยายจะได้รับแจกดีวีดี “อพาร์ตเมนต์ไม่บาน” ชุดที่ 12 อันเป็นชุดใหม่ล่าสุด ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติในครั้งนี้ ดังนั้น ห้ามพลาดเป็นอันขาดครับ