
รักนี้ที่ใช่ของ'กรณ์-หนูเล็ก'
ไฮฮอตวันเสาร์ : รักนี้ที่ใช่ของ'กรณ์-หนูเล็ก'
นาทีนี้คู่รักสุดฮอตในแวดวงสังคม คงต้องยอมสยบให้แก่คู่รักแสนหวานของ กรณ์ ณรงค์เดช (ผู้บริหารหนุ่มสุดหล่อวัย 33 ปี แห่งค่ายเคพีเอ็น ที่ไม่เพียงแต่รับผิดชอบเรื่องการประกวด เคพีเอ็น อวอร์ด เท่านั้น แต่ยังต้องบริหารคอนโดมิเนียม เดอะ แคปปิตอล ราชปรารภ-วิภาวดี ควบคู่ไปกับการบริหารร้านอาหารญี่ปุ่นโคโกะโนยะ) กับสาวเปรี้ยวจี๊ดร่างบาง "หนูเล็ก" ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร (กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด) วัย 31 ปี เขาล่ะ เพราะการกลับมาคบกันของทั้งสองครั้งนี้ ได้จุดประกายให้หนุ่มกรณ์เจอกับคนที่ "ใช่" จนต้องเอื้อนเอ่ยขอลั่นระฆังวิวาห์กับสาวหนูเล็กทันที ขณะที่การรีเทิร์นรักครั้งนี้ดำเนินมาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
คู่รักคู่นี้คบกันมานานเท่าไรแล้ว
กรณ์ : ผมรู้จักเล็กมาตั้ง 10 กว่าปีแล้วครับ เราสองคนเคยคบกันมาก่อนหน้านี้ และก็ห่างๆ กันไป ครั้งนี้ด้วยอายุที่ลงตัวด้วยล่ะ เลยกลับมาคบกันอีกครั้งเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ ผมรู้สึกว่าเหมือนเรารู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว กลับมาอีกครั้งความรู้สึกที่คลิกกันมันมาเอง เหมือนเราคุยกันเข้าใจกัน มองหน้าแล้วรู้ใจแบบนั้น แต่ถึงผมจะเลิกคบกับเล็กตอนนั้นแต่ก็ยังเจอกันอยู่บ่อยๆ เพราะผมเป็นเพื่อนสนิทกับลูกแดง (ดวงภัทร โพธิรัตนังกูร) พี่สาวของหนูเล็ก ช่วงที่ผมเลิกคบกับเล็กตอนนั้นพี่สาวเขาก็อยู่ด้วยตลอด เขารู้ว่าเราเป็นยังไง แล้วเขาก็ไม่ได้หวงน้องสาวด้วย
หนูเล็ก : ครอบครัวของเราสองคนก็สนิทกันอยู่แล้วด้วยค่ะ พี่กรณ์เป็นเพื่อนสนิทกับพี่ลูกแดง เขาก็จะมาดินเนอร์ มาแฮงเอาท์ด้วยกันอยู่ตลอดอยู่แล้วค่ะ
กรณ์ : ที่บอกว่าครอบครัวของเราสนิทกัน เพราะคุณตาของผม (ดร.ถาวร พรประภา) เป็นเพื่อนกับคุณยาย (ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ) ของหนูเล็กมาก่อนครับ คุณแม่ผม (คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช) เลยเห็นและรู้จักหนูเล็กมาตั้งนานแล้วครับ
ประทับใจอะไรในกันและกัน
กรณ์ : เราเหมือนกันเกือบทุกอย่าง ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องกิน เรื่องเที่ยว อย่างเรื่องกินนี่อะไรก็ได้แต่ต้องอร่อย ไม่อร่อยแล้วเปลืองท้อง (หัวเราะ) แล้วก็ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน ซึ่งผมกับเขาเป็นคนแอ็กทีฟเอาท์ดอร์เหมือนกัน แล้วเล็กเป็นคนตรงดีครับ คือ เวลาจะพูดอะไรกับเขาแล้วไม่ต้องกลั่นกรองคำพูดก่อนที่จะพูด อยากจะพูดอะไรก็พูดได้เลย เขาจะไม่มีอารมณ์เหมือนผู้หญิงทั่วไป ไม่มีงอนหรืออะไรเลย พอเราไม่ต้องกลั่นกรองมันก็เป็นตัวของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาผมอาจจะต้องระวังในเรื่องของคำพูดนิดหนึ่ง
หนูเล็ก : ด้วยความที่เล็กรู้จักกับพี่กรณ์มานานมากแล้ว และตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันเขาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เสมอต้นเสมอปลายมาตลอดเวลา แล้วเป็นคนใส่ใจในดีเทลต่างๆ ของเล็กเสมอ เช่นว่า เขาจะรู้ว่าเล็กชอบอะไร ชอบกินอะไร เรียกว่าสนใจที่จะเอาใจใส่เล็กตลอดเวลาค่ะ
จากเพื่อนมาเป็นแฟน ต้องมีความเกรงใจกันด้วยหรือเปล่า
กรณ์ : ผมไม่เกรงใจเลยครับ (หัวเราะ) คือ ถ้าวันนี้เหนื่อยไม่อยากเจอ เขาก็โอเคไม่อยากเจอ ซึ่งเขาก็ดีเข้าใจ เราก็ดีไม่ต้องฝืนตัวเอง ส่วนใหญ่ถ้าเจอกันก็ไปกินข้าวดูหนัง อย่างหนังเรื่องสุดท้ายคือเรื่องไฟนอล เดสทิเนชั่น แต่ส่วนมากเราเจอกันทุกวันครับ ถ้าเย็นไม่ว่างช่วงเที่ยงก็จะแวะไปหา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะอยู่ใกล้กันมากกว่า
มีอารมณ์หึงหวงกันบ้างหรือเปล่า
กรณ์ : ไม่หวงเลย คือ คนคบกันก็ต้องไว้ใจกัน ไม่ได้มานั่งหวงกันตลอดเวลา ผมว่าห่วงได้แต่ไม่ควรหวง ซึ่งหนูเล็กเองก็ไม่มีอารมณ์หึงหรือหวงด้วย เรื่องแบบนี้ไม่มีปัญหากันเลย เรียกว่าเป็นธรรมชาติเป็นตัวของตัวเอง มีอะไรก็แสดงออกมาเลย ถ้าเกิดเขาไม่รู้ตอนนี้แล้วอีกหน่อยเราแสดงออกมา ในอนาคตอาจจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ แล้วจะกลายเป็นรับกันไม่ได้แทน
หนูเล็ก : ไม่หวงเลยค่ะ ไม่เคยเลยนะ รู้สึกว่าถ้าเป็นแฟนกันแล้วมานั่งหวงกันคงไม่เวิร์กแน่ๆ แต่จะรู้สึกเป็นห่วงมากกว่าค่ะ
ได้ยินมาว่าจะสละโสดต้นปีหน้าด้วย
กรณ์ : ครับ (ยิ้มพร้อมกับหน้าแดงแจ๊ด) ก็คุยกันมาพักหนึ่งแล้วครับ ที่วางเอาไว้จะแต่งกันประมาณต้นปีหน้า ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ครับ
หนูเล็ก : จริงๆ ยังไม่ได้วางแผนอะไรกันเลย แค่คุยกันเฉยๆ เองค่ะ ยังไม่ได้แพลนอะไรด้วย แต่อยากจะให้งานแต่งงานเป็นแบบธรรมดาๆ ไม่ใหญ่โตอะไร แล้วก็อยากจะเชิญแค่คนที่อยากเชิญให้มาร่วมงานจริงๆ ถึงครอบครัวจะอยากให้จัดงานใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าคนแต่งงานไม่อยากได้ก็คงต้องยอม เพราะถึงยังไงก็เป็นวันของคนสองคนอยู่ดี
กรณ์ขอแต่งงานกับหนูเล็กอย่างไร
หนูเล็ก : เราคุยกันเฉยๆ นะคะ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร เล็กเองก็ไม่ได้เป็นคนหวือหวาอะไรด้วย เขาก็ถามเล็กว่าไหนๆ ก็รู้จักกันมานานแล้ว และกลับมาคบกันใหม่ยังไงเราแต่งงานกันมั้ย ตอนนั้นก็อึ้งๆ เหมือนกันนะคะ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าพี่กรณ์จะพูด แต่ก็ตอบตกลงเลยนะคะ เพราะเล็กก็โอเคอยากจะใช้ชีวิตคู่กับคนนี้อยู่แล้ว
อะไรที่คิดว่าคนนี้แหละใช่ที่สุดแล้ว
กรณ์ : เคยบอกใครหลายๆ คนแล้วว่าถ้าใช่ก็แต่ง ไม่ใช่ก็ไม่แต่ง (หัวเราะ) ใช่สำหรับผม คือ สบายใจอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทะเลาะกันบ้างหรือเปล่า ยังครับอย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยครับ (หัวเราะ) แต่อาจจะต้องมีบ้างสักวัน ก็คงต้องหาวิธีคุยกันเพราะถ้าเราคุยกันได้ทุกเรื่องก็โอเค ของแบบนี้ก็ต้องยอมด้วยกันทั้งคู่ เพราะสุดท้ายจะให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมตลอดก็ไม่แฟร์
หนูเล็กเปรี้ยวมากกรณ์อยากให้เบาๆ ลงหน่อยหรือเปล่า
กรณ์ : ไม่ต้องเลยครับ ผมชอบแบบนี้อยู่แล้ว ผมไม่ได้เหมือนผู้ชายคนอื่น คือ ถ้าแฟนผมถามว่าแต่งตัวโป๊มั้ยคุณถามผิดคนแล้ว ผู้ชายทั่วไปเวลาเห็นคนอื่นมองแฟนตัวเองอาจจะหึง แต่สำหรับผมแล้วถ้าผู้ชายคนอื่นมองแฟนผม ผมจะรู้สึกว่าแฟนผมเจ๋งภูมิใจ (ยิ้ม)
หนูเล็ก : พี่กรณ์ชอบผู้หญิงเปรี้ยวๆ มั่นใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงเรียบร้อยค่ะ ซึ่งเขาก็รับได้และชอบที่เล็กเป็นเล็กแบบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเล็กก็เป็นตัวของตัวเอง จะต้องเรียบร้อยขึ้นหรือเปล่าคงไม่ต้อง ไม่ต้องปรับอะไรเลย ซึ่งเขาก็บอกเองว่าถึงจะแต่งงานกันแล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร เป็นแบบนี้แหละ
ทางครอบครัวของทั้งสองฝ่ายว่าอย่างไรบ้าง เมื่อทราบว่าจะแต่งงานกัน
กรณ์ : คุณแม่ผมก็ดีใจบอกว่าดีแล้ว เพราะที่บ้านผมกับบ้านของหนูเล็กก็สนิทกันทั้งคู่ จะได้ไม่ต้องปรับตัวอะไรกันมาก
หนูเล็ก : ครอบครัวของเล็กทุกคนเขาก็คอยดูห่างๆ อยู่แล้วว่าสรุปแล้วเราจะเป็นอย่างไรกัน พอมีข่าวดีแบบนี้ทุกคนก็ดีใจ อย่างพี่ลูกแดงเขาก็ยินดีกับเล็ก เพราะพี่กรณ์กับครอบครัวของเล็กเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว พอเรามาคบๆ กันทุกคนก็เอนด์อัพเลย แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามสเต็ปของชีวิตนะ เราแต่งงานกันคงไม่ใช่ด้วยอายุอย่างเดียว พอเราสองคนโตขึ้นก็รู้ว่าต้องการอะไรด้วย
มองวันต่อไปของชีวิตคู่ตัวเองอย่างไรบ้าง
กรณ์ : ทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคต ถ้ามีความสุขกับวันนี้ทุกอย่างในวันนี้มันก็ดี แล้วถ้าอนาคตมันดีมันก็เป็นเรื่องที่ดีขึ้นไปอีก เรื่องของอนาคตผมไม่สามารถจะพูดหรือบอกอะไรได้ เพียงแต่ว่าถ้าตอนนี้โอเคมีความสุขดีแล้ว อนาคตของเราก็จะทำให้ดีที่สุดครับ
ถ้าแต่งงานแล้วอยากจะให้หนูเล็กมาช่วยดูแลกิจการด้วยหรือเปล่า
กรณ์ : ไม่หรอกครับ ต่างคนต่างทำงานกันดีกว่า เพราะถึงจะให้รักกันมากแค่ไหน คนอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง ถ้าแต่งแล้วเราต่างมีที่ว่างของตัวเองผมว่ามันดีกว่าอยู่แล้ว
หนูเล็ก : เล็กก็ยังทำงานของเล็กเหมือนเดิมแบบนี้นะคะ เล็กว่าชีวิตคู่ที่จะอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง เคยดำเนินชีวิตมาแบบไหนก็ทำไปแบบนั้นดีกว่า ต่างคนต่างทำงานของตัวเองใช้ชีวิตในแบบของเรา เสร็จจากงานกลับบ้านไปได้เจอกัน ได้คุยกัน ได้อยู่ด้วยกันเท่านั้นก็โอเคแล้วค่ะ
ส่วนเรื่องสินสอดของหมั้นนั้น ทั้งสองคนยกให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่เป็นผู้ตระเตรียม และแม้งานแต่งงานของพวกเขาจะยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเท่ากับคู่อื่นๆ แต่เชื่อมั่นว่า "รัก" ที่ "ใช่" ของทั้งสองจะฉุดรั้งให้คู่รักคู่นี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและราบรื่น เฉกเช่นครอบครัวของทั้งสองคนอย่างแน่นอน...