
หนีร้อนไปซบอก "สโนว์ มอนสเตอร์"
และแล้ว "เมืองไทย" ก็โคจรเข้าสู่ "ฤดูร้อน" อีกครั้ง แถมปีนี้ดูเหมือนไอแห่งความร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มาซะด้วย ถึงแม้จะหยิบพัดมือบวกพัดลมมาเพิ่มแรงลมเท่าไร ไอร้อนก็ไม่คิดจะเบาลงสักนิด
ร้อนๆ แบบนี้ทำให้ใจเหม่อลอยไปไกลถึง ยอดเขาซาว (Zao) แห่งจังหวัดยามากาตะ ภายในเมืองเซ็นได ประเทศญี่ปุ่น ซะเหลือเกิน ที่แห่งนี้นับเป็นสวรรค์ของนักเล่นสกีอีกแห่งก็ว่าได้ ด้วยลานสกีที่มีพื้นที่กว้างถึง 305 เฮกเตอร์ หรือ 1,906.25 ไร่ ทั้งยังมีลู่วิ่งสกีที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นคือ 9 กิโลเมตร แถมยังมีเนินทั้งหมด 14 เนิน 12 ลู่วิ่ง ชวนให้ผู้หลงใหลสกีทุกเพศทุกวัย ได้สนุกสนานบนลานน้ำแข็งอันขาวโพลนจนลืมวัยกันไปเล้ย...และไม่ว่าฤดูไหน "ซาว" ก็ยังคงครองใจนักท่องเที่ยวเสมอมา
จากสนามบินนาริตะ เราสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นมายังซาว ด้วยระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ตลอดการเดินทางเราจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นอันแสนเรียบง่าย โดยเฉพาะชาวบ้านที่มักจะออกมาโกยหิมะให้ออกไปจากพื้นถนน เนื่องจากฤดูหนาวของยามากาตะจะมีหิมะตกเป็นจำนวนมาก ทำให้นักเล่นสกีสามารถสนุกกับความเร็ว ปะทะสายลมอันเย็นเฉียบไปจนถึงฤดูร้อนเลยด้วย...
ลงจากรถไฟชินคันเซ็นเรานั่งรถต่อไปยัง ซาว ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ตลอดเส้นทางถูกโรยด้วยเกล็ดหิมะ ที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่ขาดสาย คล้ายเป็นการต้อนรับผู้ต่างถิ่นที่มาเยือนได้ให้ชื่นใจ แม้ทุกคนจะเตรียมตัวมาพร้อมเพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่ระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็งแล้วก็เถอะ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ของ "ซาว" เห็น เป็นต้องหว่านล้อมให้พวกเราใส่เสื้อคลุมและรองเท้าที่เขามีไว้สำหรับให้เช่าทันที ด้วยเกรงว่าทั้งคณะจะกลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งเมื่อไปถึงยอดเขาซาวนั่นเอง
แต่งตัวท้าความหนาวเย็นกันพร้อมสรรพ เราก็นั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปยังสถานีปลายทาง ROPE WAY ซึ่งภายในกระเช้าไม่มีแม้แต่เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความร้อน แต่ความเย็นชนิดติดลบทำให้กระจกด้านในกระเช้ามีเกล็ดหิมะเกาะ จนเจ้าหน้าที่ต้องเตรียมแผ่นพลาสติกใสเอาไว้ ให้ทุกคนได้ใช้ขูดเกล็ดหิมะออกจากกระจกเพื่อชมวิวทิวทัศน์อันสวยงาม
บริเวณยอดเขาซาวแห่งนี้มีอุณหภูมิต่ำถึง -9 ถึง -11องศาเซลเซียลซะด้วย ใครที่ชอบความหนาวเย็นรับรองถูกใจชัวร์ และที่แห่งนี้ในระดับความสูง 1,300-1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราจะได้เห็น จุเฮียว (juhyo) หรือ ต้นสนอาวโมริ โทโด มัสซึ (Aomori Todo matsu) ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งอันหนา หากมองผิวเผินจะคล้ายกับปีศาจหิมะ (snow monster) พากันยืนเรียงรายคอยต้อนรับผู้มาเยือนอยู่เต็มพื้นที่ของภูเขาซาวแห่งนี้เลยทีเดียว และยามค่ำคืนจะมีการเปิดไฟหลากสีสาดส่องไปยังจุเฮียว เรียกสีสันให้แก่ผู้มาเยือนได้ไม่น้อยเช่นกัน...
จุเฮียว เกิดจากลมทะเลของญี่ปุ่นหรือลมตะวันตกเฉียงใต้ พัดพาเอาละอองน้ำที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แต่ยังไม่เป็นน้ำแข็งพัดมาติดกันต้นไม้และมีความหนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กลายเป็น สโนว์ มอนส์เตอร์ ซึ่งหากมองใกล้ๆ หิมะและน้ำแข็งที่เกาะบนต้นสนเหล่านี้ จะมีริ้วในทิศทางเดียวกันกับสายลมที่พัดพามา และถึงแม้ไกด์สาวคนสวยจะบอกกับเราว่า ปีนี้หิมะตกน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมาด้วยผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่สำหรับคนเมืองร้อนอย่างเราๆ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหิมะบนยอดภูเขาของไทยมาก่อน ช่างชวนให้ตื่นตาตื่นใจกับเจ้าน้ำแข็งสีขาวเหล่านี้ยิ่งนัก
เมื่อนั่งกระเช้ามาจนถึงสถานีปลายทาง ROPE WAY ที่แห่งนี้เราจะได้เห็น พระจีโซ โบซัสสุ ที่มีความสูงถึง 2 เมตร 40 เซนติเมตร โดยในอดีตชาวบ้านในบริเวณนั้นช่วยกันเดินเท้า และขนหินขึ้นมาก่อเป็นองค์พระเมื่อ 240 ปีที่ผ่านมา ซึ่งองค์พระจีโซนี้ได้รับการขนานนามว่า เป็นองค์พระสำหรับขอพรให้เด็กๆ ทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง รวมถึงเป็นการขอให้มีลูกด้วย ดังนั้นพระจีโซจึงมักจะมีผ้ากันเปื้อนสีแดงผูกบริเวณคอ และมักจะมีผู้นำของเล่นเด็กๆ มากราบไหว้เป็นประจำ ว่าแต่พระจีโซ โบซัสสุ ที่สถานีปลายทางแห่งนี้ เราได้เห็นเพียงแต่เศียรพระเท่านั้น เนื่องจากทั่วทั้งองค์พระถูกหิมะปกคลุมอย่างแน่นหนา และหิมะจะเริ่มละลายเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิต่อไป
เรื่อง - ภาพ... "ศรีพร เหล่าวณิชยา"