ไลฟ์สไตล์

 แนะ'9กฎเหล็ก...ห้ามผ่าน4สารพิษ'

แนะ'9กฎเหล็ก...ห้ามผ่าน4สารพิษ'

22 ก.ย. 2554

เปิดใจ'อธิบดีกรมการเกษตร' แนะ'9กฎเหล็ก...ห้ามผ่าน4สารพิษ' : เปิดใจนายจิรากร โกศัยเสวี อธิบดีกรมวิชาการเกษตร โดยโต๊ะรายงานพิเศษ

          ผ่านไปเกือบ 20 ปี ตั้งแต่ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ประกาศใช้ มีผู้นำเข้าสารเคมีเกษตร หรือยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ฯลฯ มาขอขึ้นทะเบียนแล้วมากกว่า 2 หมื่นรายการ ทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้สารเคมีในแปลงเกษตรติดอันดับโลก สารเคมีเหล่านี้ถูกสั่งเข้ามาขายเพิ่มมากขึ้นทุกปี เมื่อปี 2553 มีตัวเลขการนำเข้า 118 ล้านกิโลกรัม มูลค่ากว่า 1.8 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงพิษร้ายแรง 4 ชนิดที่หลายประเทศห้ามใช้แล้ว แต่ยังวางขายทั่วประเทศไทยคือ "คาร์โบฟูราน" "เมโทมิล" "ไดโครโตฟอส" และ "อีพีเอ็น" โดยกลุ่มธุรกิจค้าสารเคมีข้ามชาติสั่งเข้ามาขายทำกำไรปีละกว่า 7 ล้านกิโลกรัม

          ขณะที่หลายฝ่ายเริ่มตระหนักถึงปัญหาการใช้สารเคมีเกษตรผิดวิธี และใช้มากเกินความจำเป็น เนื่องจากพืชผักผลไม้ไทยถูกตรวจพบยาฆ่าแมลงปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหภาพยุโรปตรวจพบผักกระเฉดที่จะส่งไปขายเนเธอร์แลนด์มี "คาร์โบฟูราน" ตกค้างเกินมาตรฐานถึง 18 เท่า เช่นเดียวกับต้นหอมที่จะส่งไปขายฟินแลนด์มีสารพิษ "เมโทมิล" ตกค้างมากถึง 9 เท่า

        กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงปรับปรุงระเบียบกฎหมายใหม่ โดยกำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป สารเคมีเกษตรที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กว่า 2 หมื่นรายการจะถูกยกเลิก เพื่อจัดระเบียบการขึ้นทะเบียนใหม่ให้เหมาะสมกว่าเดิม พร้อมห้ามนำเข้าสารเคมียังไม่ได้รับอนุญาต โดยให้ขายเฉพาะสินค้าที่เหลือจนกว่าจะหมดเท่านั้น จังหวะเดียวกัน เครือข่ายเกษตรกร เอ็นจีโอและกลุ่มนักวิชาการได้พร้อมใจกันออกมากดดันไม่ให้มีการขึ้นทะเบียนสารพิษ 4 ตัวข้างต้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจค้าสารเคมีเรียกร้องให้เร่งออกใบอนุญาต ไม่เช่นนั้นจะเกิดภาวะยาฆ่าแมลงขาดตลาด

 โอกาสนี้  "จิรากร โกศัยเสวี" อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้รับผิดชอบการอนุญาตขึ้นทะเบียน ได้เปิดใจกับ "คม ชัด ลึก" เป็นครั้งแรก

 - หลังวันที่ 22 สิงหาคมปัญหาการใช้ยาฆ่าแมลงจะดีขึ้นอย่างไร

 กระแสสังคมปัจจุบันห่วงใยเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยมากขึ้น โดยเฉพาะสารพิษตกค้างในพืชผัก หลายปีที่ผ่านมากรมพยายามแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม กว่าจะสำเร็จและประกาศใช้ก็เมื่อปี 2551 กฎหมายใหม่กำหนดมาตรฐานหลายอย่างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะให้ผู้นำเข้าหรือผลิตสารเคมีเกษตรขายต้องมีเอกสารข้อมูลความปลอดภัยจากห้องแล็บ “จีแอลพี” GLP (Good Laboratory Pracitcle) ที่เป็นห้องแล็บคุณภาพสูง ทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 30 แห่ง ในอดีตจะใช้ผลรับรองห้องแล็บไหนก็ได้ ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ นอกจากนี้การขอขึ้นทะเบียนสารเคมีเกษตรแต่ละรายการนั้น จะอนุญาตให้ใช้ชื่อการค้าได้ 3 ชื่อเท่านั้น แต่ก่อนสารตัวเดียวกันถ้าได้รับอนุญาตแล้ว จะเอาไปตั้งชื่อการค้ากี่ร้อยชื่อก็ได้ บางตัวมีชื่อการค้าแตกต่างกันถึง 500 ชื่อ สร้างความสับสนให้เกษตรกร
  
 - หลักเกณฑ์ขึ้นทะเบียนแตกต่างจากเดิมอย่างไร

 ระเบียบใหม่เข้มงวดมากขึ้น มีหลักเกณฑ์เฝ้าระวัง 9 ข้อด้วยกัน คือ 1.รายงานการเกิดพิษในสัตว์ทดลองที่อาจเป็นผลร้ายต่อมนุษย์ เช่น การเกิดมะเร็ง ทำให้กลายพันธุ์ ทำให้ตัวอ่อนผิดปกติ ฯลฯ 2.พิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่อาหาร 3.ระยะเวลาที่ใช้ในการสลายตัว 4.ระดับความเป็นพิษเฉียบพลันสูง 5.พิษตกค้างในผลผลิตเกษตร 6.สิ่งเจือปนที่เป็นพิษในขั้นตอนการผลิตและการเก็บรักษา 7.อันตรายรุนแรงต่อพืชหรือสัตว์ที่เป็นประโยชน์ เช่น ผึ้ง หนอนไหม ฯลฯ 8.เป็นสารเคมีที่ห้ามใช้ในต่างประเทศหรือไม่ และ 9.สารที่ใช้แล้วทำให้เกิดการระบาดของศัตรูพืชเพิ่มหรือไม่

 - สถิติการขอขึ้นทะเบียนมีมากน้อยเพียงไร

           20 ปีที่ผ่านมา มีสถิติทะเบียนเก่าสะสมถึง 2 หมื่นกว่ารายการ แต่ถ้าแยกเป็นสูตรเคมีก็จะมีแค่  600 กว่าสูตรเท่านั้น แต่หลังวันที่ 22  สิงหาคม รายชื่อการค้าซ้ำซ้อนกว่า 2 หมื่นชื่อจะลดลงเหลือไม่กี่พันชื่อ ล่าสุดมีผู้มายื่นเรื่องขึ้นทะเบียนแล้ว 3 พันกว่ารายการ และอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนไปแล้วกว่า 200 กว่ารายการ สาเหตุที่ล่าช้าเพราะระเบียบใหม่เข้มงวดขึ้นมาก แต่กำลังพยายามเร่งให้เร็วกว่านี้  จากวันนี้ไปพวกสารเคมีด้อยคุณภาพจะหายไปจากตลาด ส่วนที่นักธุรกิจโวยวายว่าของจะขาดตลาดก็ไม่จริง เพราะเขาเตรียมสั่งของมากักตุนไว้ขายแล้ว มีประกาศให้เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี

 - กลยุทธ์การขายยาฆ่าแมลงที่โฆษณาเกินจริง

 ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาใหญ่ เพราะทำให้เกษตรกรหลงเชื่อได้ง่าย บางยี่ห้อโฆษณาว่า ฉีดปุ๊บตายปั๊บ ไม่รู้ว่าแมลงตายหรืออะไรตาย ปัจจุบันยังไม่มีใครรับผิดชอบควบคุม เคยคุยกันหลายครั้งว่าต้องให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือสคบ.ดูแล เพราะเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจะไปนั่งเฝ้าวิทยุชุมชนหรือประกาศโฆษณาตามสื่อต่างๆ และไม่รู้ว่าอะไรคือมาตรฐานของคำว่า “เกินจริง” แต่ฝ่าย สคบ.ก็บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องสารเคมีเกษตร สุดท้ายคงต้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายมอบหมายให้ชัดเจนว่า จะให้หน่วยงานไหนดูแล 

 - ปัญหาสารพิษ 4 ตัวที่เครือข่ายเอ็นจีโอคัดค้านการขึ้นทะเบียน

 สารเคมีทั้ง 4 ตัวนี้อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังอยู่แล้ว หากจะห้ามขึ้นทะเบียนหรือนำเข้าประเทศ ต้องพิจารณาว่ามีสารใดทดแทนได้บ้าง ไม่ใช่ว่าอยากห้ามก็ห้ามได้เลย เพราะเกษตรกรยังต้องการใช้ยาฆ่าแมลงในแปลงเกษตร ช่วงนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประชุมร่วมกันหลายครั้งแล้ว สรุปเบื้องต้นเป็น 2 ส่วนคือ “อีพีเอ็น” กับ “ไดโครโตฟอส” กำลังเตรียมข้อมูลเสนอให้ "คณะกรรมการวัตถุอันตราย" ยกเลิกการนำเข้า เพราะเอกสารวิชาการยืนยันแน่ชัดถึงผลตกค้างที่มีพิษค่อนข้างร้ายแรง แต่ต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องด้วย  ส่วน “คาร์โบฟูราน” และ “เมโทมิล” อยู่ในขั้นตอนสำรวจเอกสารความเป็นพิษตกค้างในผลิตผลเกษตร

 - ต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะรู้ผล

   ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าสารเคมีทั้ง 4 ตัวนี้คงไม่ได้รับการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนง่ายๆ เพราะหลายฝ่ายกำลังช่วยกันเฝ้าระวัง ส่วนคณะกรรมการจะพิจารณาเสร็จเมื่อไรนั้น ผมคาดเดาไม่ได้จริงๆ แต่ที่ผมอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันย้ำเตือนคือ ขอให้เกษตรกรอ่านฉลากและวิธีใช้อย่างละเอียดทุกครั้ง เพราะถ้าทำตามคำแนะนำจะไม่เกิดปัญหาสารเคมีตกค้างในพืชผลหรือปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และตัวเกษตรกรจะปลอดภัยด้วย