
แปรรูปไม้ไผ่สาน'เข่ง-สุ่มไก่'ขาย
ป่าไม้ไผ่กว่า500ไร่ บ้านดอกบัว ม.4 ต.บ้านตุ่น อ.เมือง พะเยา เดิมเพียงตัดขายเป็นลำลำละ 10-12บ. 'บาล บุญก้ำ'ผญบ.ได้ริเริ่มให้ชาวบ้านทำสุ่มไก่-เข่ง แปรรูปไม้ไผ่เป็นสินค้าโอทอปเพิ่มมูลค่าไม้ไผ่1ลำให้สูงถึง70บ.
'บาล' เล่าให้ฟังว่า บ้านดอกบัวมีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งนาข้าว เลี้ยงสัตว์ ปลูกหญ้าแพงโกลา รวมถึงการปลูกป่าไผ่ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 500 ไร่ เดิมทีเมื่อไผ่ได้ขนาดก็จะตัดเป็นลำใส่รถบรรทุกและนำไปจำหน่ายให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคเหนือ ในราคาลำละ 10-12 บาท ซึ่งผู้รับซื้อก็จะนำไปสานเป็นเข่งและสุ่มไก่ส่งจำหน่ายต่อ จากการที่ส่งวัตถุดิบไม้ไผ่ได้ระยะหนึ่งก็พบว่าการตัดไม้ไผ่ส่งขายไม่คุ้มกับค่าเดินทาง
ประกอบกับเห็นว่าการแปรรูปไม้ไผ่จำมาจักสานเข่งและสุ่มไก่ สามารถเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้เพิ่มได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเข่งยังได้รับความนิยมใช้ในการขนย้ายผักและผลไม้ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเข่งพลาสติก จึงกลับมาพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ทดลองแปรรูปไม้ไผ่ทำทั้งสุ่มไก่และเข่ง ซึ่งก็ได้รับความสนใจ แต่เนื่องจากไม่มีความชำนาญและไม่รู้ขั้นตอนวิธีการสานเข่งและสุ่มไก่ อาศัยครูพักลักจำจากการไปส่งไม้ไผ่ให้กับลูกค้า ทำให้สินค้าในช่วงแรกยังไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน บิดเบี้ยว ไม่ได้รูป
ทั้งยังพบว่าไม่ได้ขนาดที่มีการแบ่งมาตรฐานไว้ไว้ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่ เบอร์อะไร แต่ด้วยความใจดีของพ่อค้าก็ยอมรับซื้อไว้ทั้งๆ ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน แต่อาจให้ราคาที่ต่ำกว่าราคาขายทั่วไป ซึ่งก็สร้างความดีใจให้กับชาวบ้านที่ยังสามารถขายสินค้าได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากขายของที่ผลิตได้ครั้งแรกหมดแล้วก็ได้มีการพูดคุยหารือกัน เพื่อปรับปรุงสินค้าให้ได้มาตรฐาน และให้สามารถจำหน่ายให้กับลูกค้าต่อได้
'บาล' เล่าให้ฟังต่อว่า หลังจากที่มีการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานแล้วก็ยังพบว่าขาดตลาดในการจำหน่ายสินค้า จึงตัดสินใจขายรถบรรทุก นำเงินที่ได้มาซื้อรถกระบะและใช้เป็นเงินทุนในการขนส่งเข่งและสุ่มไก่ไปจำหน่ายยังที่ต่างๆ ทั่วพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก เชียงราย เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ แพร่ และน่าน เร่ขายไปหลายต่อหลายครั้ง จนพ่อค้าที่รับซื้อมีความไว้วางใจ หลังจากนั้นก็มีคำสั่งซื้ออย่างสม่ำเสมอ และมารับสินค้าด้วยตัวเอง
กระทั่งปี 2546 มีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างมากและสม่ำเสมอ จึงได้มีการตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ชื่อ "กลุ่มจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่สานเข่งและสุ่มไก่" ขึ้น โดยชาวบ้านแต่ละคนหากขยันทำงานตั้งแต่เช้าจะมีรายได้เฉลี่ยวันละ 800 บาท เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 4,000-6,000 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมรายได้ของกลุ่มประมาณ 2.5 ล้านบาท แบ่งเป็นสุ่มไก่มูลค่า 1.2 ล้านบาท และเข่งมูลค่า 1.3 ล้านบาท
"ตอนนี้ทั้งเข่งและสุ่มไก่เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ชาวบ้านดอกบัวหมู่ 4 ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทัน ต้องให้หมู่บ้านข้างเคียงช่วยกันทำ เพราะคำสั่งซื้อค่อนข้างมาก โดยเข่งจะส่งขายที่สุโขทัย พิษณุโลก เชียงราย เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ แพร่ และน่าน ส่วนสุ่มไก่ไม่จำหน่ายเฉพาะในประเทศเท่านั้น ต่างประเทศทั้งพม่า ลาว และจีน ก็มีความต้องการค่อนข้างสูง โดยราคาส่งอยู่ที่ใบละ 22 บาท ราคาขายปลีก 25 บาท ส่วนราคาขายปลายทางเท่าที่รู้อยู่ที่ 30 บาท" บาล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายในกลุ่มยังมีการตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาทั้งเรื่องเงินที่ได้จากการขายเข่งและสุ่มไก่จะถูกหักเข้าเป็นเงินออมทรัพย์กลุ่ม ราคาใบละ 0.50 สตางค์ นอกจากนี้ ในส่วนของสมาชิกยังต้องออมทรัพย์เดือนละ 20 บาทต่อคน
เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกลุ่ม ปัจจุบันมีเงินหมุนเวียนแล้วกว่า 2 แสนบาท จากเริ่มแรกที่ก่อตั้งมีเงินกองทุนเพียง 4-5 หมื่นบาท รวมถึงตั้งกฎหมู่บ้านขึ้นเรื่องการขโมยต้นไผ่ หากจับได้จะถูกปรับ 500 บาท ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยังไม่พบเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น