
'ง้วนสะเต๊ะ'ของดีเมืองหาดใหญ่
เหตุการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจปี40 'วิกฤตต้มยำกุ้ง'คือหนึ่งปรากฎการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนจนทำให้นักธุรกิจระดับ100ล.จนถึงลูกจ้างรายวันจำนวนไม่น้อยต้องประสบชะตากรรมที่พลิกผันชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ผลพวงจากภาวะทางเศรษฐกิจในคราวนั้นแม้จะสร้างบาดแผลอย่างรุนแรงให้กับผู้ประกอบทั้งรุ่นเล็กและใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็มีหลายรายที่สามารถปลุกปั้น และลุกขึ้นสู้ฝ่ามรสุมอันหนักหน่วงจนปลุกชีพให้ธุรกิจของตนเองเติบโตได้อีกครั้ง
'นันทิวัฒน์ มณีฉาย' หรือ 'พี่ง้วน' หนุ่มใหญ่วัย 40 ต้นๆ จากหาดใหญ่ คือหนึ่งในเหยื่อจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น ที่ต้องเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ด้วยภาวะสะบักสะบอม โดยกลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิด ด้วยหวังจะก่อร่างสร้างตัวใหม่อีกครั้ง
การกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนเที่ยวนี้ 'นันทิวัฒน์' ตั้งใจหันหลังให้กับอาชีพลูกจ้าง และตั้งมั่นที่จะมีกิจการเป็นของตัวเอง โดยลงมือศึกษาความรู้จากผู้เป็นแม่ด้วยการทดลองทำอาหาร กระทั่งวันหนึ่งได้ลงมือทำ 'สะเต๊ะหมูและไก่' รับประทานกันในครอบครัว พร้อมทั้งแจกจ่ายเพื่อนบ้าน ผลปรากฎว่าทุกคนติดใจในรสชาติ จนนำมาซึ่งการลงมือทำอย่างจริงจัง
"ผมพยายามศึกษาจากตำราของคุณแม่ควบคู่กับคิดค้นสูตรของตัวเอง โดยใช้เวลาถึงสองปีหมดเงินไปจำนวนมาก โดยตระเวณแจกจ่ายให้เพื่อนฝูง และคนใกล้บ้านชิม จนมั่นใจว่าได้รสชาติอันเป็นแบบฉบับจึงตัดสินใจตระเวณขายทั่วเมืองหาดใหญ่เมื่อ 14 ปีก่อน" นันทิวัฒน์ ย้อนความเป็นมา
ด้วยภาวะเศรษฐกิจในยุคนั้น 'นันทิวัฒน์' จำเป็นต้องหาวัสดุธรรมชาติมาห่อ 'สะเต๊ะหมูและไก่' ให้กับลูกค้า และ 'ใบตอง' เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ในความทรงจำของลูกค้านับตั้งแต่นั้นมาจนถึงกระทั่งบัดนี้ เพราะถือเป็นเจ้าแรกที่ใช้ใบตองห่อสะเต๊ะหมูและไก่ให้กับผู้บริโภค
ส่วนที่มาของสูตรโบราณ คือ รูปแบบและกรรมวิธีในการปรุงสะเต๊ะหมูและไก่ จะต้องหมักด้วยเครื่องเทศที่เป็นสมุนไพรไทย โดยกรรมวิธีทุกอย่างจะต้องตำ โขลก บด ด้วยแรงคนในครอบครัวทั้งสิ้น จะไม่มีการซื้อเครื่องปรุงสำเร็จรูปมาผสม ที่สำคัญสะเต๊ะหมูและไก่ จะต้องใช้หมักนานถึง 2 -3วัน เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อม โดยเวลานำขึ้นเตาจะพรมน้ำกะทิตลอดเวลา
"เครื่องปรุงทุกอย่างไม่มีสารเคมี โดยผมมีเอกสารรับรองและผ่านการตรวจจากผู้เกี่ยวข้องยืนยันได้เลยว่า 14 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้บริโภคร้องเรียนถึงส่วนผสมที่มีสารเคมีปนเปื้อนแม้แต่ครั้งเดียว" นันทิวัฒน์ กล่าว
เช่นเดียวกับน้ำจิ้มจะบดและคั่งเครื่องแกงจนหอมกรุ่น โดยถั่วที่ใช้จะลงมือทุบตีให้แตกในลักษณะหยาบหน่อยๆ ไม่ละเอียดมาก เวลาเคี่ยวจะเพิ่มความมันของถั่ว ส่วนน้ำอาจาดจะใช้น้ำสับปะรดเป็นส่วนผสมสำคัญ เพื่อให้ได้ความเหนียวแบบยางมะตูมและมีรสชาติอร่อย ไม่เลี่ยน
ด้วยเอกลักษณะที่แตกต่างทำให้ 14 ขวบปีที่ผ่านมา นอกจาก 'นันทิวัฒน์' จะครองใจลูกค้าในอำเภอหาดใหญ่ จนถูกยกให้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในของดีประจำเมืองนี้แล้ว เขายังมีลูกค้าจากจังหวัดใกล้เคียงทั้งพัทลุง ตรัง นราธิวาส รวมถึงลูกค้าจากมาเลเซีย และเม็กซิโก ที่เดินทางมาชิมถึงที่หลังจากเห็นภาพและข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของผม www.nguansatay.com เมื่อไม่นานมานี้
"นอกจากลูกค้าประจำแล้วยังมีหน่วยงานรัฐ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ที่จะมาสั่งให้ไปบริการในงานเลี้ยงคราวละไม่ต่ำกว่า 1,500 ไม้ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญต้องจองคิวล่วงหน้ายาวเป็นเดือนเลยทีเดียว" นันทิวัฒน์ กล่าว
หนุ่มใหญ่คนเดิมบอกว่า ในช่วงสุดสัปดาห์จะมีนักท่องเที่ยวมาเลเซียแวะมาซื้อ ทำให้มีรายได้สูงนับหมื่นบาทต่อวันเลยทีเดียว ส่วนเทศกาลโดยเฉพาะปลายปีจะสามารถทำยอดทะลุ 50,000 บาท โดยปัจจุบันหากเป็นช่วงปกติจะใช้เนื้อไก่ หมู รวมถึงเนื้อวัว และเนื้อกุ้ง เฉลี่ย 150-200 กิโลกรัมต่อวัน
ด้วยฐานลูกค้าที่เติบโตมากขึ้นทำให้วันนี้ต้องมีตู้แช่ขนาดใหญ่ไว้รองรับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อเก็บสะเต๊ะ ถึง 4 ตู้ โดยแต่ละตู้จะรองรับสะเต๊ะได้ 10,000 ไม้ ซึ่งแต่ละตู้แทบจะขายหมดแบบวันต่อวัน เนื่องจากการทำตลาดผ่านเว็บไซต์ทำให้มีออร์เดอร์เข้ามาไม่ขาดสายทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงและต่างจังหวัด
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เบอร์เกอร์สะเต๊ะ ออกมาเอาใจบรรดานักเรียน หรือคุณหนูในราคา 20 บาท นอกเหนือจากจะขายเฉพาะสะเต๊ะในราคาไม้ละ 4 บาทเท่านั้น ที่สำคัญน้ำจิ้มสะเต๊ะยังกลายเป็นสินค้าขายดี เพราะลูกค้าต่างสั่งซื้อเพื่อนำไปรับประทานกับขนมปังอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้ 'นันทิวัฒน์' ปลาบปลื้มชนิดหาที่สุดมิได้ นั่นคือการได้รับพระราชทานโอกาสในการทำสะเต๊ะ ถวายสมเด็จพระเทพฯ และเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมายัง อ.หาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
"มีเจ้าหน้าที่มาติดต่อผม และผมได้ปรุงถวายอย่างสุดความสามารถ เพราะนี่คือที่สุดของชีวิต ดังนั้นพระมหากรุณาธิคุณนี้ ผมจะจดจำไปตลอดชีวิต และจะยึดมั่นในการทำสะเต๊ะอย่างสุดความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่" นันทิวัฒน์ กล่าว
ปัจจุบันร้านสะเต๊ะเจ้านี้ ให้บริการลูกค้า 2 แห่ง คือที่บ้าน ซึ่งตั้งอบู่บนถนนสายคลองเรียน ซอย 7 เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ โดยจะเปิดในช่วงเช้า ส่วนภาคบ่ายจะขายอยู่ที่ถนนคลองเรียน 7 ซึ่งเป็นสถานที่เดียวที่ขายมาตลอด 14 ปี หากใครอยากแวะมาชิม หรือจะโทรสั่งจองติดต่อได้ที่ 081-698-3133 ยินดีบริการถึงที่



