ไลฟ์สไตล์

เที่ยวเมืองชาละวัน:ไหว้หลวงพ่อเพชร

เที่ยวเมืองชาละวัน:ไหว้หลวงพ่อเพชร

11 ก.ย. 2554

ชวนเที่ยว : เที่ยวเมืองพิจิตร แหล่งจระเข้และเรื่องเล่าขาน โดย... ประดิษฐ์ พูลสาริกิจ

       ไป... ไปเที่ยวเมืองพิจิตรกันครับ น้องกันหลานผมจะพาเที่ยวเอง....

       หลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อเมืองพิจิตร แต่เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้ว่าเมืองพิจิตรมีของดีอะไรบ้าง ว่างๆ ฤกงามยามดีเลยขับรถเที่ยวกันซะหน่อย ตามน้องกันไปครับ....

       ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปนักจากกรุงเทพฯ ระยะทางประมาณ 360 กิโลเมตร หรือใครที่ขึ้นเหนือไปเที่ยวขากลับลองแวะเข้าเมืองพิจิตร ไหว้พระ เที่ยวเมืองเก่าก็เข้าท่าดีนะครับ

       สถานที่แรกที่น้องกันจะพาไปคือวัดท่าหลวงครับ วัดนี้ป็นอารามหลวงชั้นตรีตั้งอยู่บนถนนบุษบาในตัวอำเภอเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพิจิตร คือหลวงพ่อเพชรครับ หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะสำริด ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร สังฆาฏิสั้นเหนือพระอุระ มีพุทธลักษณะงดงามมาก หน้าตักกว้าง 2 ศอก 1 คืบ 6 นิ้ว สูง 3 ศอก 3 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นแรก ประทับนั่งนบฐานรูปบัวคว่ำบัวหงาย สร้างในระหว่างปีพุทธศักราช 1660-1880 ประมาณ 882 ปีโน้นเลยครับ

       ผู้คนที่ไปไหว้หลวงพ่อเพชร นิยมบูชาหลวงพ่อด้วยไข่ต้ม เสร็จแล้วนำกลับไปรับประทาน มีความเชื่อว่าจะมีโชคลาภ (ผมก็เพิ่งรู้นะเนี่ย คนพิจิตรแท้ๆ แต่อยู่นอกเมืองน่ะครับ) ที่น่าสนใจคือ มีการยกช้างเสี่ยงทาย ใครปรารถนาอะไรก็ลองไปอธิฐานแล้วยกช้างที่วัดท่าหลวงดูนะครับ ปกติช่วงปลายเดือนธันวาคม-ต้นเดือนมกราคมของทุกปีจะมีงานนมัสการหลวงพ่อเพชร และงานกาชาดจังหวัดพิจิตร      

       หน้าวัดท่าหลวงมีแม่น้ำน่านไหลผ่าน เป็นสถานที่แข่งเรือชิงถ้วยพระราชทานฯ ผมเคยไปดูครั้งหนึ่งนานแล้ว สนุกสนานและคนเยอะมาก...ขอบอก การแข่งเรือของพิจิตรจะมีราวเดือนกันยายน ในวันแรม 6 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปีครับ

       จากวัดท่าหลวงขับรถไปตามถนนบุษบา ถนนศรีมาลา และถนนราษฎร์วิถีประมาณ 4 กิโลเมตร จะมีบึงน้ำขนาดใหญ่ชื่อบึงสีไฟ (สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ พิจิตร) เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ด้านหน้ามีจระเข้ยักษ์ภายในลำตัวใช้เป็นห้องประชุมได้ จำได้ครั้งก่อนน้องกันกลัว จนไม่กล้าเข้าใกล้ ..ตาขาวจริงๆ หลานเรา

       เดินลึกเข้าไปในสวนจะมีบ่อเลี้ยงจระเข้ขนาดใหญ่ (ก็จะให้เสียชื่อเมืองชาละวันได้ยังไงล่ะครับ) จระเข้แต่ละตัวนี่หน้าตาเอาเรื่องเลยทีเดียว แต่ตรงนี้ เจอของจริงน้องกันกลับไม่กลัวแฮะ ใกล้ๆ กันมีอาคาร 9 เหลี่ยมอยู่ริมบึง เป็นที่แสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด มีสารพัดพันธุ์ปลาน้ำจืด แม้กระทั่งปลาช่อนงูเห่าที่หาดูได้ยาก

       จากนั้นผมขับรถเรียบบึงไปตามถนนเส้นเล็กๆ ไม่ไกลครับ แค่ 7 กิโลเมตรผมก็มาถึงเมืองเก่าพิจิตร ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง ภายในกำแพงเมืองมีเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่เศษ ประกอบด้วยกำแพงเมือง คูเมือง เจดีย์เก่า ฯลฯ มีสวนรุขชาติกาญจนกุมาร ทำให้มีต้นไม้ใหญ่หลายชนิด ร่มรื่นดีมากครับ

       สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งแรกคือวัดมหาธาตุ ซึ่งกรมศิลปกรได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้เมื่อปี พ.ศ.2478 ประกอบไปด้วยพระเจดีย์ทรงลังกา ด้านหน้าของพระเจดีย์เป็นที่ตั้งของวิหารเก้าห้อง ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงส่วนฐาน ด้านหลังเป็นพระอุโบสถ มีใบเสมา 2 ชั้น บริเวณเนินดินส่วนวิหารได้พบสิ่งก่อสร้าง 2 ยุค คือสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา ....

       ค้นข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ความว่า พิจิตร เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง มีความหมายว่า "เมืองงาม" ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพิษณุโลก มีแม่น้ำน่านและแม่น้ำยมไหลผ่าน ตัวเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน พิจิตรเป็นเมืองเก่าแก่ในสมัยสุโขทัย ปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และในศิลาจารึกหลักที่แปด รัชกาลพระยาลิไท เรียกว่า "เมืองสระหลวง" ซึ่งมีสถานะเป็นหัวเมืองเอกของกรุงสุโขทัย

       ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยารัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เมืองโอฆบุรี" ซึ่งแปลว่า "เมืองในท้องน้ำ" ตามตำนานกล่าวว่า พระยาโคตรบองเป็นผู้สร้างเมืองพิจิตร แต่จะสร้างในสมัยใดไม่ปรากฏ นอกจากนี้เมืองพิจิตรยังเป็นที่ประสูติของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่งคือ สมเด็จพระศรีสรรเพชญที่ 8 หรือ สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ 

       ในสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองพิจิตรเป็นเพียงเมืองขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีเจ้าเมืองปกครองเช่นเมืองอื่นๆ เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ย้ายเมืองพิจิตรมาตั้งที่บ้านคลองเรียงซึ่งเป็นคลองขุดใหม่ ลัดแม่น้ำน่านที่ตื้นเขิน คลองเรียงจึงกลายเป็นแม่น้ำน่านไป ส่วนบริเวณเมืองพิจิตรเก่ายังปรากฏโบราณสถานอยู่หลายแห่ง ซึ่งมีอายุตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงสมัยอยุธยา 

       โอ้โห ... พิจิตรบ้านผมมีประวัติยาวนานจริงๆ  ตรงนี้น้องกันวิ่งเล่น ปีนป่ายสนุกสนานเชียว...
 ด้านข้างริมคูน้ำมีถ้ำชาละวัน เมื่อหลายสิบปีก่อน เคยได้ยินข่าวมีคนเข้าไปขโมยจระเข้พญาชาละวันไปจากที่นี่ ทุกวันนี้เหลือแต่กรงเปล่าๆ ครับ

       ที่สุดท้ายเจ้าน้องกันพามาคือที่ ศาลหลักเมืองพิจิตร ผู้สร้าง คือพระอาจารย์โง่น โสรโย ประสงค์แสดงให้ประจักษ์ในเทพเทวดาสถิตอภิบาลรักษา ณ ศาลหลักเมืองแห่งนี้ ดังนี้

       วสุเทพ คือ เทพที่สถิตอยู่ใต้ดิน อันได้แก่พ่อปู่หลักเมือง

       กรุทรเทพ คือ เทพที่สถิตอยู่ระหว่างอากาศและพื้นดินอันได้แก่เสาหลักเมืองพิจิตร

       อาทิตยเทพ คือ เทพที่สถิตอยู่ใน อากาศ น่านฟ้า

       การจัดสร้างจึงให้สูงหรือต่ำกว่านี้มิได้ การขึ้นไปกราบไหว้หลักเมืองพิจิตรด้วยความเคารพจึงเป็นมงคลแก่ตน

(จากป้ายข้อความหน้าศาล)

       ไหว้ศาลหลักเมือง เอาฤกษ์เอาชัยแล้วกลับบ้าน โอกาสหน้าจะหาเวลาว่างพาไปเที่ยวสถานที่อื่นๆ อีกครับ