
ออทิสติก
ออทิสติก หรือ กลุ่มอาการออทิสติกสเปคตรัม (Autistic spectrum disorder) เป็นความผิดปกติด้านพัฒนาการ ที่มีสาเหตุจากความผิดปกติในสมอง (Brain-based disorders) ส่งผลต่อพฤติกรรม การเข้าสังคม และการสื่อสารของเด็ก
กลุ่มอาการออทิสติกสเปคตรัม ประกอบด้วยโรค 3 โรค คือ
1.โรคออทิสติก (Autistic disorder)
2.PDD-NOS (Pervasive developmental disorder-not otherwise specified)
3.โรคแอสเปอเกอร์ (Asperger syndrome)
ปัจจุบันพบเด็กที่เป็นกลุ่มอาการนี้ได้ 1 ต่อ 110-150 คน และหากมีประวัติว่าพี่น้องสมาชิกในครอบครัวเป็นออทิสติก โอกาสเป็นโรคนี้จะมีมากกว่าเด็กทั่วไปถึง 10 เท่า
สาเหตุของการเกิดโรคออทิสซึม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดในปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยมากมาย ซึ่งข้อมูลที่มีบ่งชี้ไปที่ความผิดปกติในระดับพันธุกรรม เกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับยีนบางตัว บางส่วนของสมอง และเซลล์ประสาทบางกลุ่ม และอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมอีกมาก
อาการของเด็กออทิสติก
อาจเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก ในด้านสังคมและพัฒนาการทางภาษา คือมักจะไม่ชอบให้กอด หรืออุ้ม ชอบนอนอยู่เฉยๆ คนเดียวได้นานจนดูเหมือนเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ โกรธ ไม่จ้องหน้าสบตา ไม่ตอบสนองเวลาถูกเรียกชื่อ หรือมีคนพูดคุยด้วย แต่กลับตอบสนองต่อเสียงอื่นๆ ได้ แม้ว่าจะเบามาก ไม่เล่นเสียงตามวัยที่ควรเป็น เช่น เสียงเรียก ม่าม้า ปะป๊า ได้ตั้งแต่ 9-12 เดือน และเริ่มพูดคำที่มีความหมายได้ก่อนอายุ 18 เดือน แต่เด็กออทิสติกมักพูดได้ช้ากว่านั้น อาจมีภาษาแปลกๆ ที่ฟังเหมือนภาษาต่างดาว ไม่มีความหมาย
พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ เช่น การคว่ำ หงาย นั่ง ยืน เดิน มักจะปกติ มีบางกรณีที่เด็กออทิสติกอาจมีพัฒนาการทางภาษาไม่ช้า คือกรณีของเด็กที่เป็นแอสเปอเกอร์ อาจพูดได้ตามเกณฑ์ แต่การใช้ภาษาจะแปลกไป เช่น พูดไม่เข้ากับกาลเทศะ พูดไม่สมกับอายุ ใช้คำพูดเหมือนผู้ใหญ่ หรือพูดวนเวียนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าปกติ และมีประมาณ 25% ของเด็กออทิสติกที่มีพัฒนาการทางภาษาปกติจนถึงอายุประมาณ 12-18 เดือน
บางคนเริ่มพูดคำเดี่ยวๆ ได้แล้ว แต่ต่อมาเริ่มมีพัฒนาการถดถอย หรือหยุดชะงัก เช่น หยุดพูด หยุดโบกมือบ๊ายบาย หยุดหันหาเวลาถูกเรียกชื่อ สนใจคนรอบข้างน้อยลง เล่นคนเดียวมากขึ้น เด็กออทิสติกแต่ละคนมีอาการและความรุนแรงที่ต่างกัน
อาการหลักที่มีต้องเข้าได้กับเกณฑ์การวินิจฉัยของโรค คือมีความผิดปกติใน 3 ด้านต่อไปนี้
1.ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม “ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว”
2.ทักษะภาษาและการสื่อสาร “ลูกพูดภาษาอะไรแปลกๆ ไม่มีใครฟังเข้าใจ เหมือนภาษาต่างดาว แต่พอร้องเพลงโฆษณา ร้องเหมือนเป๊ะ”
3.พฤติกรรมที่ซ้ำๆ หรือมีข้อจำกัดในกิจกรรมประจำวันต่างๆ เช่น ชอบหมุนตัว สะบัดมือ สะบัดนิ้ว โยกตัว ชอบมองตามมุม หรือขอบของสิ่งของ ใช้หางตามองสิ่งต่างๆ ทำอะไรตามลำดับซ้ำๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ต้องรับประทานอาหารจานเดิม เก้าอี้ตัวเดิม เมนูเดิมทุกครั้ง ต้องดื่มนมด้วยแก้วใบเดิมในเวลาเดิม หมกมุ่นกับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งมากๆ จนไม่ทำอย่างอื่น
ปัจจุบันกลุ่มอาการออทิสติกยังไม่มีการรักษาใดที่ทำให้หายขาดได้ แต่เด็กออทิสติกสามารถพัฒนาและเรียนรู้ ทักษะต่างๆ เพิ่มได้
มีเด็กประมาณ 3-25% ที่หลังจากผ่านการฝึก อาการจะดีขึ้นจนไม่เข้ากับเกณฑ์การวินิจฉัยโรคอีก แต่มักยังมีอาการบางอย่างที่คงอยู่จนโตได้ เช่น การเข้าสังคม การสื่อสารกับเพื่อนอาจยังมีปัญหา ซึ่งผู้ปกครองควรต้องคอยชี้แนะ ประคับประคองต่อไป
เด็กออทิสติกทุกคนจำเป็นต้องได้รับการทำพฤติกรรมบำบัด เพื่อที่จะดึงให้เด็กออกจากโลกส่วนตัว มาสู่โลกแห่งความจริงที่มีคนอื่นๆ อยู่ร่วมด้วย รวมถึงการเรียนรู้ที่จะสื่อสารอารมณ์ ความต้องการของตนเอง และเข้าใจความต้องการของผู้อื่น
การปรับพฤติกรรมในเด็กออทิสติกมีหลากหลายวิธี โดยการเลือกวิธีรักษา ต้องขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่าง โดยแพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้พิจารณา
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
โทร.0-2711-8236-7