วิกฤติ'ต้นไคร้'ไม้น้ำกว๊านพะเยา
ผู้ใหญ่บ้าน เสนอเวทีร่วม ประชุมวิกฤติ 'ต้นไคร้' ไม้น้ำกว๊านพะเยา วันนี้น้อยลงถึงขั้นไม่มีที่อยู่
ความหลากหลายในกว๊านพะเยา ไม่ใช่แค่เรื่องปลา ชาวประมง หรือพืชน้ำอย่างผักตบชวาเพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วยังมีพืชน้ำอีกชนิดหนึ่งที่น้อยคนนักจะเคยเห็น และรู้จัก เพราะอยู่ด้านทิศตะวันตกของกว๊านพะเยา พืชชนิดนี้คือ ต้น "ไคร้นุ่น" หรือ "ไคร้น้ำ" พืชน้ำที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และสร้างพื้นที่ชุมน้ำในกว๊านพะเยาให้เป็นระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ แต่วันนี้พื้นที่อยู่ของไม้น้ำชนิดนี้น้อยลงไปเรื่อยๆ และยังไม่มีการจัดการ และอนุรักษ์ไว้อย่างชัดเจน
นายศุภฤกษ์ การเร็ว ผู้ใหญ่บ้านบ้านร่องไฮ หมู่ 1 กล่าวว่า จริงๆ แล้วต้นไคร้ ที่อยู่ที่บ้านร่องไฮ หมู่ 1 ไม่ได้มีมากที่สุด เพราะต้นไม้น้ำชนิดนี้ เป็นไม้ที่ลอยน้ำ คล้ายๆ กับผักตบชวา เคลื่อนตามทิศทางลม และระดับน้ำ แต่บ้านร่องไฮ มีลักษณะเป็นหลง เมื่อไม้ชนิดนี้พัดเข้ามา จึงติดอยู่ในพื้นที่ และมีการขยายพันธุ์มากกว่าพื้นที่อื่น
สำหรับการจัดการและอนุรักษ์ ผู้ใหญ่บ้านร่องไฮ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คนในชุมชนเห็นต้นไคร้อยู่ตลอด แต่ไม่ค่อยสนใจ หรือพูดคุยแนวทางเรื่องการอนุรักษ์เท่าไหร่ จึงอยากให้มีการจัดเวทีหารือ หรือพูดคุยกันของคนในพื้นที่ ทั้ง อบต.แม่ใส ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ กำนันและผู้ใหญ่บ้านในเขตที่มีต้นไคร้นุ่นอยู่ เช่น บ้านสันหนองเหนียว บ้านสันเวียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนหาวิธีการจัดการ และการทำเขตอนุรักษ์พืชชนิดนี้ร่วมกัน
ด้าน ดร.รัฐภูมิ พรหมณะ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพะเยา อธิบายเกี่ยวกับลักษณะ และความสำคัญของต้นไคร้น้ำว่า เป็นไม้น้ำจืดชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายๆ ต้นโกงกาง เมื่อรวมตัวอยู่กันหนาทึบก็คล้ายกับป่าโกงกาง ซึ่งประโยชน์ของไม้น้ำชนิดนี้มีมาก ถ้ามีการจัดการให้อยู่ที่ใดที่หนึ่ง จะช่วยยึดหน้าดิน กรองพวกสารเคมีต่างๆ ก่อนที่จะไหลลงสู่ใจกลางกว๊านพะเยา เป็นที่อยู่อาศัยทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำและยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำชั้นดี
ดร.รัฐภูมิ กล่าวว่า ต้นไคร้ที่อยู่กันเป็นกลุ่มอย่างบ้านร่องไฮ ต.แม่ใส อ.เมือง จ.พะเยา และอยู่ในหนอง บึง ในภาคเหนือ เหลือน้อยเต็มที ถือเป็นป่าพรุน้ำจืด คือลักษณะของพื้นที่ชุมน้ำ หรือ wetland สำหรับในจังหวัดพะเยา เหลือน้อยเต็มที ควรมีการพูดคุยเพื่อจัดการ และอนุรักษ์ไว้ เพราะมีประโยชน์ต่อกว๊านพะเยา และคนพะเยาจริงๆ เชื่อว่าเยาวชนบางคนยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ
นางหลั่น เสาคำ ชาวบ้านบ้านสันป่าก้าง ต.ต๊ำ อ.เมืองพะเยา กล่าวว่า ต้นไคร้นุ่น ถูกน้ำพัดพามาเมื่อ 3 ปีก่อนในช่วงน้ำหลาก แล้วก็มาเจริญเติบโตขยายออกไปตามแถบชุมชนริมกว๊าน แต่ที่บ้านสันป่าก้างตอนนี้เหลือไม่ถึง 10 ต้น เพราะเมื่อโครงการถนนรอบกว๊านเสร็จ ต้นไคร้ถูกกักไว้อีกฝั่งของถนน นานเข้าเมื่อน้ำลดมันก็ยืนตาย เพราะกลับลงกว๊านไม่ได้
"ประโยชน์ของมันมีอยู่ เวลาชาวบ้านจะดักปลาเหยี่ยน (ปลาไหล) โดยเอารันไปใส่ไว้บริเวณรากของมัน ปลาเหยี่ยนจะชอบอยู่ใต้รากมันตรงที่ติดกับโคลน แต่ถ้าทำเป็นเขตกักต้นไคร้ไว้จะดีกว่า จะทำให้ชาวประมงมีพื้นที่หาปลามากขึ้น” นางหลั่น กล่าว
สำหรับต้นไคร้นุ่น ปัจจุบันมีอยู่ในจังหวัดพะเยาเพียงสองจุดใหญ่ คือ บริเวณหนองเล็งทรายในอำเภอแม่ใจ ซึ่งในแม่ใจจะมีไคร้อีกชนิด ที่เป็นไม้น้ำที่ฝังรากลึก และอีกแหล่ง คือ บริเวณข้างกว๊านที่กระจายอยู่ ในพื้นที่ 2 ตำบล คือ ต.บ้านต๋อม และต.แม่ใส โดยมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ จากโครงการพัฒนาของรัฐรอบกว๊านพะเยา และการรุกทำลายของคนหาปลาบางส่วนเมื่อพื้นที่หาปลาลดลง