
'ข้าวเกรียบปลา'บ้านไอร์กูเล็ง
'ข้าวเกรียบปลา'บ้านไอร์กูเล็ง สูตรอร่อยสร้างเงิน-ขายทั่วใต้ โดย.. สุพิชฌาย์ รัตนะ
อาชีพหลักของพี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการทำสวนยางพารา และแม้นว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่ให้กำไรสูงทุกครั้งในการนำผลผลิตยางแผ่นดิบออกขายให้แก่ผู้รับซื้อ แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของดินแดนด้ามขวานทำให้ภาวะฝนฟ้าอากาศกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการกรีดยาง เช่นเดียวกับ ชาวบ้านไอร์กูเล็ง ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่ประสบปัญหาฝนตกชุก จนไม่สามารถออกกรีดยางเพื่อเก็บเกี่ยวรายได้เข้ากระเป๋าได้เท่าที่ควร
ภาวะที่เกิดขึ้นได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจภาคครัวเรือนอย่างชัดเจน จนในที่สุดเกิดการรวบตัวของกลุ่มสตรีจำนวน 15 ชีวิต ด้วยการก่อตั้ง “กลุ่มแม่บ้านไอร์กูเล็ง” ในปี 2542 เพื่อผลิตสินค้าชุมชนเพื่อหวังเพิ่มเม็ดเงินเข้ากระเป๋าในการดำรงชีพนั่นเอง
นางแยนะ เจ๊ะวานิ หรือ “ก๊ะนะ” สตรีมุสลิมรุ่นใหญ่แห่งบ้านไอร์กูเล็ง เริ่มต้นด้วยการชักชวนแม่บ้านในพื้นที่ด้วยการร่วมลงขันคนละ 100 บาท เพื่อผลิตสินค้าชุมชนออกจำหน่ายในท้องตลาด โดยระยะแรกลองผิดลองถูกด้วยการทอด “ข้าวเกรียบปลารสธัญพืชออกขาย” ประกอบด้วยรสชาติใบเตย อัญชัน ตำลึง มะเขือเทศ จนเป็นรู้จักของคนในท้องถิ่น และได้รับการตอบกลับจากลูกค้าสูงขึ้นเรื่อยๆ
“เราไปอบรมการทำข้าวเกรียบที่ อ.จะนะ จ.สงขลา หลังจากนั้นกลับไปทดลองทำที่บ้านโดยให้เพื่อนบ้านชิมดู เมื่อเป็นที่น่าพอใจจึงทำ ขายในหมู่บ้านและชุมชนใกล้เคียงจนมีรายได้ จนในที่สุดได้ตั้งระบบการบริหารเป็นกลุ่ม มีการแบ่งปันผลกำไรจนถึงทุกวันนี้” ก๊ะนะย้อนเรื่องราวที่มา
หลังจากนั้นไม่นาน “ข้าวเกรียบปลาทอด” กลายเป็นสินค้าที่ออกจำหน่ายในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มประกอบการรายใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากดินแดนแห่งนี้สามารถหาวัตถุดิบทางทะเลได้ง่าย จึงส่งผลให้สินค้าประเภทเดียวกันล้นตลาด
เมื่อมีสินค้าในกลุ่มเดียวกันวางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์จากแม่บ้านไอร์กูเล็งถูกผู้ประกอบการเจ้าอื่นเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาด จึงทำให้ “ก๊ะนะ” ระดมกลุ่มสมาชิกด้วยการร่วมคิด ร่วมทำเพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้าเพื่อโอกาสทางธุรกิจและความอยู่รอดของผลิตภัณฑ์ท่ามกลางการแข่งขันที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
“เราศึกษาและพบจุดอ่อนคือข้าวเกรียบปลาทอดจะมีเวลากรอบไม่นานหลังจากแกะออกจากถุง ดังนั้น จึงได้ศึกษาค้นคว้าสูตรใหม่ กระทั่งพบว่าการเติมแป้งสาคูในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำให้ข้าวเกียบมีความกรอบยาวนานและมีรสชาติอร่อยกว่าเดิม จนในที่สุดเราก็ได้ข้าวเกียบปลาทอดสูตรสาคูที่ไม่เหมือนใคร” ก๊ะนะบอก
ปัจจุบันข้าวเกรียบปลาทอดกรอบสูตรสาคูของกลุ่มแม่บ้านไอร์กูเล็ง มีกำลังผลิตเฉลี่ยเดือนละ 500 กิโลกรัม โดยช่วงเทศกาลสำคัญจะมีการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เพราะมีออเดอร์จากลูกค้าเข้ามาจากทั่วประเทศ โดยราคาขายปลีกอยู่ที่ 35 บาทต่อถุง นอกจากนี้ยังมีข้าวเกียบดิบขนาด 400 กรัม ซึ่งขายในราคา 70 บาท เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ชอบซื้อกลับไปทอดรับประทานเองที่บ้าน
สำหรับใครที่อยากลองชิมรสชาติความอร่อยของข้าวเกรียบปลาทอดกรอบของกลุ่มแม่บ้านไอร์กูเล็ง ว่ามีความแตกต่างจากข้าวเกรียบปลาเจ้าอื่นอย่างไร สามารถติดต่อไปได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 08-9978-4886, 0-7351-8232 หรือจะแวะเวียนไปให้กำลังใจสตรีมุสลิมได้ที่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 13 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นที่ทำการกลุ่ม โดย “แยนะ เจ๊ะวานิ” บอกว่ายินดีให้บริการความอร่อยควบคู่ความรู้ในธุรกิจประเภทนี้อย่างเป็นกันเอง
สำหรับพื้นที่บ้านไอร์กูเล็ง มีต้นสาคูเป็นจำนวนมาก และคนในชุมชนก็ผลิตแป้งสาคูออกจำหน่ายในท้องตลาดเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นการนำแป้งสาคู ซึ่งเป็นหนึ่งในของดีประจำถิ่นนอกจากจะช่วยให้ข้าวเกรียบมีความกรอบอร่อยขายดีเทน้ำเทท่าแล้ว ยังช่วยส่งเสริมรายได้ให้แก่ชาวสวนที่ปลูกสาคูในท้องถิ่นแห่งนี้ได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย
“สูตรการผสมแป้งสาคูกับข้าวเกรียบก่อนนำไปทอดนั้น เพื่อให้ได้ความกรอบและอร่อย จะต้องรู้ปริมาณ ซึ่งถือเป็นความลับของกลุ่มแม่บ้านไอร์กูเล็งเท่านั้น เพราะนี่เป็นสูตรสำคัญระดับหัวใจที่ช่วยให้สินค้าขายได้ราคาดี และเป็นที่นิยมกว่าเจ้าอื่น” ก๊ะนะกล่าวด้วยความภูมิใจ
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มแม่บ้านไอร์กูเล็งมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเกือบ 30 ชีวิต โดยทุกคนมีรายได้เข้ากระเป๋าเฉลี่ยเดือนละหลายพันบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่เกิดจากการดำเนินการทำข้าวเกรียบ ด้วยการใช้เวลาว่างช่วงเย็นทุกวันยกเว้นวันศุกร์ มารวมตัวกันผลิตสินค้าขายในพื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงจากคำสั่งซื้อของลูกค้าจากนอกพื้นที่ อีกทั้งยังมีการส่งจำหน่ายยังประเทศมาเลเซียเป็นครั้งคราว