
เขมรยกท่าจีบนางอัปสรตีตรารำไทย
รมว.วธ.ชี้เขมรขึ้นทะเบียนท่ารำ-หนังใหญ่ ไม่ใช่ลิขสิทธิ์ ลั่นไทยไม่เสียเปรียบ เตรียมเชิญนักวิชาการ-ผู้เกี่ยวข้องถก หวังทำความเข้าใจปชช.ให้ตรงกัน ขณะที่บล็อกเกอร์เขมรยกท่าจีบนางอัปสรโต้ไทย
16 ส.ค.54 นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จะมีการแจ้งวาระให้กับ ครม.เพื่อทราบ กรณีที่ประเทศกัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนท่ารำและหนังใหญ่ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย ตรงนี้ขอชี้แจงว่า เป็นคนละเรื่องกับเรื่องลิขสิทธิ์ เพราะการขึ้นทะเบียนเป็นเพียงการแจ้งว่า มีการสงวนเรื่องการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ภายในประเทศนั้น
ดังนั้น จึงไม่เป็นการลิดรอนสิทธิ์ของไทย ถ้าในอนาคตเราได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา ว่าด้วยการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และในเร็ววันนี้เราก็จะมีการเร่งร่างกฎหมายเพื่อขอเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา ว่าด้วยการอนุรักษ์มรดกที่จับต้องไม่ได้ แต่ทั่งนี้ยังมีเรื่อง รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เรื่องการทำอนุสัญญาระหว่างประเทศ ที่จะต้องนำเรื่องเข้าครม. และผ่านความเห็นชอบทั้งจาก ครม. และรัฐสภา ตรงนี้ต้องใช้เวลาเล็กน้อย เพราะมีกรอบเวลา
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเสนอเป็นมรดกโลกในนามของไทย โดยเสนอตัดหน้าประเทศกัมพูชา รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า วันนี้เรายังไม่ได้เข้าเป็นภาคี เพราะฉะนั้นเราจึงยังไม่สามารถเสนออะไรได้
เมื่อถามย้ำว่า เราเข้าเป็นภาคีได้เมื่อไหร่จะเสนอตัดหน้ากัมพูชาใช่หรือไม่ นางสุกุมล กล่าวว่า วัฒนธรรมของแต่ละชาติมีความคล้ายคลึงกัน ตอนนี้ในการจดทะเบียนของยูเนสโกก็มีหลายเรื่องที่เป็นวัฒนธรรมของหลายประเทศ เช่น ท่าเต้นแทงโก้ ก็มี 2 ประเทศที่มีการจดร่วมกัน คือ อุรุกวัย และอาร์เจนติน่าถือว่าเป็นวัฒนธรรมร่วมไม่มีผลกระทบอะไรกับเรา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการบอกว่าจะเร่งเข้ากรอบภาคี จะมีการกำหนดกรอบระยะเวลาหรือไม่ รมว.วัฒนธรรม ว่า ตามรัฐธรรมนูญ 190 ต้องเสนอเรื่องเข้าสภา และควรเร่งดำเนินการ แต่กำหนดไม่ได้ว่า จะเป็นสัปดาห์ หรือเดือนไหน แต่ยืนยันได้ว่าจะเร่งดำเนินการเร็ว ๆ นี้ เพราะถือเป็นภารกิจเร่งด่วน และอยู่ในความสนใจของประชาชน และจะต้องมีความเข้าใจตรงกันว่าไม่มีผลกระทบใด ๆ สำหรับอนาคตที่ไทยจะเข้าไปเป็นภาคี เราก็ยังสามารถขึ้นทะเบียนของเราได้เป็นปกติ และในวันนี้เราได้ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมในประเทศไทย ถือว่าเป็นการแสดงออกว่าเรามีวัฒนธรรมตรงนี้ในประเทศไทย
“ถ้ากัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้ว ไทยสามารถเข้าเป็นภาคี แล้วเสนอเป็นวัฒนธรรมร่วม คือ เราก็มีของเรา แต่อาจะมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย เช่นท่ารำ เครื่องแต่งกาย โดยมีหลายอย่างที่อัตลักษณ์ของแต่ละประเทศ” นางสุกุมล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการที่กัมพูชานำเรื่องดังกล่าวขึ้นทะเบียน ไม่มีผลต่อประเทศไทยใช่หรือไม่ นางสุกุมล กล่าวว่า ไม่มีผลอะไรกับประเทศไทย เป็นเพียงการยืนยันว่ามีวัฒนธรรมอย่างนี้อยู่ในประเทศเขาเท่านั้น อย่างไรก็ตามตนจะเชิญนักวิชาการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วมสัมมนา เข้ามาร่วมพูดคุยกันเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจ ในเรื่องนี้มากขึ้น และเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการลดความกังวลของประชาชน
เมื่อถามว่า จากการพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร นางสุกุมล กล่าวว่า ทุกฝ่ายยืนยันตรงกันว่าจะต้องเร่งทำร่างกฎหมายเข้าสภาโดยด่วน
ด้านนายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า รายละเอียดการหารือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม กับกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานนางสุกุมลแล้ว หลักการสำคัญเรามองว่าการขึ้นทะเบียนของกัมพูชาไม่ได้ทำให้ไทยเสียสิทธิ์ในการที่จะขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของไทย สิ่งที่จะดำเนินการต่อไป จะประชุมทำความเข้าใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงสื่อมวลชนภายในสัปดาห์หน้าเพื่อหาแนวทางเบื้องต้นที่ได้ข้อสรุปตรงกัน
"โดยจะหารือเรื่องวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ที่จะขึ้นทะเบียนระดับชาติในปี 2554 จำนวน 30 รายการ ควบคู่กันไปด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในอนาคตหากประเทศไทยเป็นสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ก็สามารถนำเสนอเรื่องเหล่านี้ขึ้นจดทะเบียนได้เช่นเดียวกับประเทศอื่น เรื่องนี้ผมขอเรียนว่ากระทรวงวัฒนธรรมไม่สามารถดำเนินการโดยเอกเทศ แต่เป็นลักษณะพหุภาคี อีกทั้งเป็นเรื่องระหว่างประเทศจะต้องมีความคิดเห็นหลายฝ่าย เมื่อได้ข้อสรุปต้องเสนอ ครม.และเสนอสภา ตามมาตรา 190 ขณะนี้ทราบว่ามีประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมภาคีนี้แล้ว 136 ประเทศ จากจำนวนสมาชิกยูเนสโกประมาณ 190 ประเทศ” นายสมชายกล่าว
ส่วนเสียงท้วงติงจากนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมภาคี นายสมชายกล่าวว่า ถือเป็นทัศนะของนักวิชาการของแต่ละคนที่สามารถเสนอความแตกต่างกันในแง่ของความคิด ยืนยันว่าสมาชิกยูเนสโก ไม่ได้มีเฉพาะประเทศตะวันตก แต่มีทุกภูมิภาคของโลก ฉะนั้นไทยควรใช้เวทีแบบนี้ในการหารือแลกเปลี่ยนกันในการที่จะจัดระเบียบร่วมกันในเรื่องวัฒนธรรม การศึกษา ศาสนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งเราก็มีศิลปวัฒนธรรมจำนวนมาก ที่จะต้องการเผยแพร่ออกไป
“การที่มีพื้นที่ระดับนานาชาติหรือระดับโลกในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย จะทำให้คนอื่นเข้าใจประเทศไทยดีขึ้น เพราะในแง่ของวัฒนธรรมแล้วเรามองถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันข้ามพรหมแดนรัฐ ยิ่งในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ยิ่งจำเป็นต้องมองเรื่องเหล่านี้ เพื่อที่เราจะอยู่ร่วมกันในยุคโลกาภิวัตน์อย่างสันติร่วมกัน ขณะนี้ในสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ มีถึง 5 ประเทศ ได้เข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เราคงต้องใช้เวทีอาเซียนในการทำงานเรื่องนี้ร่วมกัน ผมคิดว่าต้องรอระยะเวลาให้เข้าใจเรื่องอนุสัญญาดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น” นายสมชายกล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า สำหรับทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติที่เตรียมขึ้นทะเบียนเพิ่มอีก 30 รายการ ในปี 2554 ต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนในปีนี้ อาทิ ประเภทศิลปะการแสดง ได้แก่ ขับเสภา และละครนอก ประเภทงานช่างฝีมือดั้งเดิม ได้แก่ ช่างแทงหยวก ประเภทวรรณกรรมพื้นบ้าน ได้แก่ ตำนานแม่นาคพระโขนง ประเภทกีฬาภูมิปัญญาไทย ได้แก่ กีฬาว่าวไทย ประเภทแนวปฏิบัตทางสังคม พิธีกรรมและงานเทศกาล ได้แก่ การแสดงความเคารพแบบไทย เช่น การไหว้ และประเพณีสงกรานต์ ประเภทความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล เช่น ต้มยำกุ้ง (เป็นอาหารมีส่วนผสมเรื่องของสมุนไพรมาจากธรรมชาติ) น้ำปลาไทย (เป็นเครื่องปรุงรสที่ใช้ภูมิปัญญาไทยทำขึ้นมาจากการหมัก และใช้วัสดุผลิตในประเทศ ปัจจุบันเป็นสินค้าส่งออกของไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บล็อกเกอร์ชาวกัมพูชา ใน http://ki-media.blogspot.com ได้นำภาพนางอัปสรที่มีท่าจีบปรากฏตามโบราณสถานต่างๆในประเทศกัมพูชามาประกอบข่าวการให้สัมภาษณ์ของนางสุกุมลเพื่อเป็นการยืนยัน