
"ม.ล.ตรีนุช" เหนื่อยแต่สุขกับการเป็นแม่
คอลัมน์ไฮฮอตวันเสาร์ : "ม.ล.ตรีนุช" เหนื่อยแต่สุขกับการเป็นแม่ : ศรีพร เหล่าวานิชยา...เรื่อง กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร...ภาพ
ใครที่มีโอกาสได้สัมผัสรสชาติของความเป็น "แม่" ย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกที่คุณแม่เคยมีให้แก่เราอย่างแน่นอน ซึ่งความรัก ความห่วงใย และความผูกพันเหล่านี้ล้วนถ่ายทอดมาสู่ลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข และในโอกาสวันแม่แห่งชาตินี้ "คม ชัด ลึก" จึงขอแง้มความรักของคุณแม่ยังสวย "คุณนุช" ม.ล.ตรีนุช (จักรพันธุ์) สิริวัฒนภักดี ภรรยาสุดเลิฟของ "ยอด" ปณต ที่ทุ่มเทเวลาทั้งหมด 365 วัน ให้แก่ลูกชายคนแรก "น้องเทมส์" ด.ช.โรจนะ (ชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) วัย 1 ขวบ 4 เดือน ภายในห้องรอยัล พรีมา สูท โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน
ชีวิตการเป็นคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง
ค่อนข้างเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเหมือนกัน จากที่เมื่อก่อนทำงานมาตลอด ก่อนหน้านี้ยังช่วยงานสามีในกลุ่มของโรงแรม พอมีลูกยังไม่ได้กลับไปช่วยงานแบบเต็มตัวเลย ตั้งใจว่ารอให้ลูกเข้าเรียนอนุบาลก่อนค่อยกลับไปทำงานเต็มตัวอีกครั้ง มีบางอารมณ์ที่อยากจะกลับไปทำงาน แต่เด็กช่วงนี้จนถึง 3 ขวบก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียน เขาต้องการเวลาจากเรามากที่สุดเลยอยู่กับเขาให้เต็มเวลาดีกว่า
เหนื่อยหรือเปล่ากการทำหน้าที่คุณแม่
ต้องบอกเลยว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าจะเป็นคุณแม่ ช่วงตั้งครรภ์ไม่มีอาการแพ้เลยสำหรับลูกคนนี้ พอคลอดออกมาแล้วเขาค่อนข้างเลี้ยงไม่ยากมาก น้องเทมส์เป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย กินง่าย นอนง่าย อาจจะเป็นเพราะฝึกเขาตั้งแต่เด็กด้วยมั้งคะ ให้เขากินนอนเป็นเวลา แม่เลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไรช่วงที่เขาเล็กๆ แต่ช่วงนี้พอเขาเริ่มเดินได้วิ่งได้ ก็เหนื่อยขึ้นมาหน่อยแล้วเพราะเขาซนมาก เป็นเด็กผู้ชายมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้หลับจะวิ่งตลอด ต้องตามกันหน่อย กลัวเรื่องอุบัติเหตุ ยอมรับว่าเหนื่อยนะคะ แต่มีความสุขตลอดที่ได้อยู่กับลูก ได้เห็นพัฒนาการของเขาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
พอเป็นคุณแม่แล้ว ทำให้นึกย้อนถึงความรู้สึกของคุณแม่ที่เลี้ยงเรามาหรือเปล่า
นิดหนึ่งนะคะ แต่คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าตัวเองกับน้องชายเลี้ยงง่ายไม่ซนเลย ตั้งแต่เด็กจับให้อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น แต่ลูกนี่โอ้โห...ไม่ได้เลยต้องประกบตลอด เพราะเขาเป็นเด็กที่ไม่อยู่นิ่ง
ถ้าให้มองตัวเอง คิดว่าเป็นคุณแม่แบบไหน
เป็นคุณแม่ที่ไม่ตามใจลูกเลย การกินการนอนของเขาทุกอย่างจะฝึกให้เป็นวินัยมาตั้งแต่เด็ก อย่างเวลารับประทานอาหารจะให้เขานั่งอยู่กับที่ไม่มีการไล่ป้อน จะให้เวลา 30 นาที หรือถ้าเต็มที่ 45 นาที ถ้าไม่กินในเวลานี้จะเก็บแล้วจะกินอีกทีคือมื้อต่อไปเลย ซึ่งเขาก็โอเคนะ เรื่องวินัยในการรับประทานเริ่มตั้งแต่ที่ให้นมเขาแล้ว คือ จะให้นมเป็นเวลา พยายามให้เขาเป็นตารางทุกๆ 3 ชั่วโมง ไม่ให้สะเปะสะปะ ส่วนเรื่องการนอนพอโตขึ้นจะติดเล่นแล้ว แต่จะพยายามตั้งเวลาว่า ทุ่มหนึ่งจะเป็นมื้อสุดท้ายของเขา จากนั้นจะปิดห้องนอนไม่ให้เขาออกมาเล่นแล้ว ประมาณสองทุ่มจะให้เขานอน
ทำไมถึงต้องกำหนดเวลาในการรับประทานอาหาร
รู้สึกว่าถ้านานกว่านี้จะเป็นการเล่นแล้ว อยากให้เขาโฟกัสกับอาหารเป็นหลัก อาจจะมีของเล่นอยู่ตรงหน้าสักชิ้นสองชิ้น ให้กินอย่างเดียวไม่ใช่กินไปเล่นไป ซึ่งคุณพ่อเขาจะมีวินัยเรื่องนี้มาก ยิ่งตอนนี้โตขึ้นเริ่มรู้เรื่องมีการเลือกอาหารแล้ว กินยากขึ้นเลยต้องปรับเปลี่ยนเมนูนิดหนึ่ง
คุณพ่อกับคุณแม่คนไหนเฮี้ยบกว่ากัน
น่าจะเป็นคุณพ่อมากกว่า เพราะเวลาที่ลูกร้องจะเอาของ คุณพ่อเขาจะดุ หรือบางทีปล่อยให้ร้องไม่โอ๋เลย แต่เราเป็นแม่ก็ใจอ่อนต้องเข้าไปโอ๋ เพราะไม่อยากให้เด็กร้องไห้ คือ คุณพ่อเขาจะมองว่าถ้าอยากได้อะไรแล้วร้อง จะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองเกินไป แต่เราจะพูดกับเขาด้วยเหตุผลมากกว่า ก่อนจะมีลูกเราปรึกษากันว่า ต้องมีสักคนหนึ่งที่คอยดุเขาซึ่งก็คือคุณพ่อ และอีกคนหนึ่งจะเป็นคนที่เขาสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องซึ่งก็คือคุณแม่
เลี้ยงลูกด้วยการตีหรือเปล่า
ไม่ตีเลย จะพยายามพูดด้วยเหตุผล เขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเราไม่รู้หรอก แต่จะพยายามพูดให้เขาฟังว่าแบบนี้ไม่ดีนะ แบบนี้ทำไม่ได้ไม่ถูกนะ ตั้งใจเอาไว้แบบนั้นด้วยว่าจะไม่ตีลูก เพราะไม่อยากให้เขามีอะไรมาฝังใจว่าโดนตี คือ ตอนเด็กๆ เราเคยโดนคุณครูตีแล้วยังจำได้จนถึงตอนโต เลยไม่อยากให้ลูกมีความฝังใจแบบนั้น แต่เราจะเน้นการพูดมากกว่า คิดว่าการตีเป็นวิธีที่ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าไร สอนให้เขาคิดน่าจะดีกว่า
พอเราเลี้ยงลูกเองใกล้ชิดขนาดนี้ เรียนรู้อะไรจากลูกบ้าง
ความใกล้ชิดทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการของเขา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นว่าเราต้องตามลูกแทนที่จะให้ลูกตามเรา ทุกวันนี้จะพยายามอ่านหนังสือให้ลูกฟังเยอะๆ ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าเราอ่านให้เขาฟังไปเรื่อยๆ วันหนึ่งที่เขารู้เรื่องเขาจะได้มีจินตนาการเอง
ตั้งใจว่าจะให้น้องเทมส์เข้าโรงเรียนเมื่อไร
ประมาณสองขวบครึ่งค่ะ แต่ประมาณเขาขวบหนึ่งก็เริ่มพาเขาไป เพลย์ กรุ๊ป แล้ว ให้เขาได้เจอเด็กวัยเดียวกันให้เขาได้เล่นกับเพื่อน เริ่มรู้จักการแบ่งปันสิ่งของ เหมือนพาเขาไปเริ่มปรับตัว แต่เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่เคยงอแงเจอใครวิ่งเล่นด้วยได้หมด ไม่ตื่นคนเลย อาจจะเป็นเพราะคุณพ่อเขาไปไหนจะพาไปด้วยตลอด น้องเทมส์ขึ้นเครื่องบินตั้งแต่อายุ 5 เดือน เลยไม่กลัวคน เป็นเด็กที่ค่อนข้างปรับตัวง่าย คิดว่าไม่น่ามีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม
วางแผนให้ลูกอย่างไรบ้าง
ตั้งใจว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายเลยอยากให้เขาลุยๆ หน่อย ให้เขามีวินัย กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก ถ้าเขาโตขึ้นคงแล้วแต่เขาว่าจะเรียนต่อต่างประเทศหรืออยากจะเรียนในเมืองไทย ไม่ได้บังคับ บางคนแนะนำว่าเรียนต่างประเทศดีกว่า เพราะเขาจะได้ฝึกดูแลและช่วยเหลือตัวเอง แต่ต้องลองดูก่อนว่าเขาโตขึ้นไปจะเป็นอย่างไร
ลูกคนแรกจะสองขวบแล้ว จะมีคนที่สองเลยหรือเปล่า
คนที่สองรอลุ้นอยู่ค่ะ ถ้าเป็นไปได้อยากจะคลอดปีหน้า เพราะน้องเทมส์จะสองขวบแล้วน่าจะห่างกำลังดี ใจอยากมีลูก 2-3 คน แต่อย่างน้อยขอ 2 คนกำลังดี ก็อยากจะให้มีเพื่อนคู่คิด อย่างน้อยๆ โตขึ้นไปเขาก็จะได้มีเพื่อนด้วย
อยากฝากอะไรถึงคุณแม่ยุคใหม่บ้าง
สำคัญที่สุด คือ ต้องให้เวลากับลูกเยอะๆ เพราะถ้าเราให้เวลากับเขาเราจะรู้ว่าเขาคิดยังไง นิสัยใจคอเป็นยังไง พูดคุยกับลูกเยอะๆ อย่างตอนนี้เขาอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่เชื่อว่าการที่เราพูดๆ ไปเรื่อยๆ นั้นอย่างน้อยๆ เขาจะต้องซึมซับในสิ่งที่เราพูดเข้าไปบ้าง แล้วพ่อแม่ลูกต้องใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องให้เวลากับเขามากที่สุด เพราะเขายังไม่มีสังคมอย่างอื่น แต่ถ้าเขาเข้าโรงเรียน สังคมเขาจะเปลี่ยนไปแล้วอาจจะติดเพื่อน แต่เวลานี้ยังไงก็ต้องการคุณพ่อคุณแม่อยู่ค่ะ
...และนี่คืออีกหนึ่งบทบาทของ ม.ล.ตรีนุช ที่ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อ "ลูก" โดยเฉพาะเวลาส่วนตัวของตัวเอง...