
สพฐ.ชูอิสลามศึกษาเข้มข้นลดเลือดนอง3จังหวัดใต้
สพฐ.ชูอิสลามศึกษาเข้มข้นลดเลือดนอง3จังหวัดใต้ : สุพินดา ณ มหาไชย รายงาน
ปี 2551 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดหลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มข้น เปิดโอกาสให้เด็กต่างศาสนาได้เรียนรู้วัฒนธรรม ที่แตกต่าง ด้วยความมุ่งหวังว่าจะช่วยลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ปีการศึกษานี้ โรงเรียนบ้านราโมง ”วีระราษฎร์ประสาน” มีนักเรียนเพิ่มอีก 386 คน จากปีที่แล้วมีเพียง 409 คน ทวัฒน์ จุลเสวก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านราโมง บอกว่า สมัยก่อนที่นี่มีนักเรียนแค่สามร้อยต้นๆ แต่เมื่อเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มข้น จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น นักเรียนของที่นี่เกือบร้อยละ 99 เป็นชาวมุสลิม อันเนื่องมาจากโรงเรียนนี้ตั้งอยู่กลางชุมชนมุสลิม
แวดอยะ มะลี รองประธานสถานศึกษาโรงเรียนบ้านราโมง ยืนยันว่า หลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มข้นได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน เพราะสอนครอบคลุมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสอนเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอาน คำสอนทางศาสนา วิถีชีวิตมุสลิม วิธีละหมาด วิธีการดุอาร์ หรือการขอพรจากพระเจ้า ที่สำคัญเป็นการดีที่เด็กซึ่งอยู่ในโรงเรียนอยู่แล้วจะได้เรียนศาสนาไปเลยเมื่อมีเวลาว่าง และได้เรียนตั้งแต่เด็กประถมศึกษา สมัยก่อนเด็กอายุ 7-8 ปี จึงจะเริ่มเรียนศาสนาที่โรงเรียนปอเนาะ
สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ข้อมูลว่า สพฐ.เริ่มเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มข้นมาตั้งแต่ปี 2549 ในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจำนวน 142 โรงเรียน ที่ตั้งอยู่ใน จ.ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล และสงขลา โดยเริ่มทยอยเปิดปีละ 1 ชั้นเรียน จาก ป.1 ในปี 2549 มาถึงปี 2554 ก็เปิดถึง ป.6 แล้ว และเพิ่มจำนวนเป็น 350 โรงเรียน เพราะโรงเรียนที่เปิดหลักสูตรนี้จะได้รับความนิยม มีนักเรียนมาเข้าเรียนเพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้โรงเรียนรัฐมีสอนอิสลามศึกษามาตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปี 2544 วิชาอิสลามศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งของสาระสังคมศึกษา เรียนสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง แต่พี่น้องในพื้นที่มองว่า เวลาเรียนน้อยเกินไป สอนยังไม่เข้มข้นพอ สพฐ.จึงปรับใหม่ จนออกมาเป็นหลักสูตรอิสลามศึกษาแบบเข้มข้น ซึ่งมีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ มีหลักสูตรรองรับโดยเฉพาะ เรียกว่า หลักสูตรอิสลามศึกษาแบบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ในหลักสูตรดังกล่าวกำหนดโครงการไว้เป็นดังนี้
ระดับอิสลามศึกษาตอนต้น (ประถมต้น) เวลาเรียน 360 ชั่วโมงต่อปี ระดับอิสลามศึกษาตอนกลาง (ประถมปลาย) เวลาเรียน 480 ชั่วโมงต่อปี และระดับอิสลามศึกษาตอนปลาย (มัธยมต้น) เวลาเรียน 1,440 ชั่วโมงต่อ 3 ปี เฉลี่ยแล้วชั่วโมงเรียนศาสนาจะประมาณ 8-10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากเดิมที่สอนแค่สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังเพิ่มความเข้มข้นในการคัดกรองวิทยากรด้วย ต้องมีวุฒิทางศาสนาและต้องจบปริญญาตรีพร้อมมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูด้วย ที่สำคัญเด็กที่จบหลักสูตรนี้ได้วุฒิการศึกษาทางศาสนาด้วย
สพฐ.เชื่อว่า เมื่อเพิ่มความเข้มข้นแล้ว หลักสูตรอิสลามศึกษาจะได้รับการยอมรับมากขึ้น เพราะมีเป้าหมายเบื้องหลังนโยบายที่สำคัญอยู่อีก ซึ่งเกี่ยวพันกับการลดความขัดแย้งในพื้นที่ สมเกียรติ บอกว่า นโยบายนี้ต้องการช่วยให้นักเรียนมุสลิมไม่ต้องเรียนหนักเกินไป วิถีชีวิตของเด็กมุสลิมในปัจจุบันนั้น เมื่อออกจากโรงเรียนก็ต้องไปเรียนศาสนาในช่วงเย็น และวันเสาร์-อาทิตย์อีก รวมๆ แล้วเด็กจะเรียนหนักอย่างมาก นอกจากนั้น สพฐ.ต้องการให้ชาวมุสลิมส่งลูกมาเรียนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กต่างวัฒนธรรมได้เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน ไทยมุสลิมเข้าใจไทยพุทธและไทยพุทธเข้าใจไทยมุสลิม ตรงนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันในพหุสังคมที่มีความหลากหลาย ช่วยลดความขัดแย้งได้
“ผมเป็นคนใต้ สมัยเด็กจำได้ว่า พวกเราทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ก็เรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน แต่ปัจจุบันเริ่มแยกกัน ไทยพุทธเรียนในโรงเรียนรัฐ ขณะที่ไทยมุสลิมมักนิยมส่งลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หากเราเปิดหลักสูตรอิสลามแบบเข้มข้นแล้ว คาดว่า ชาวบ้านจะยอมส่งลูกมาเรียนในโรงเรียนของสพฐ. เด็กต่างศาสนาจะมีโอกาสเรียนเป็นเพื่อนกัน และเวลาที่เขาอยู่กับเราเขาก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องของเมืองไทยด้วย" สมเกียรติ กล่าว
นักเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนราโมง บอกว่า ทุกวันนี้ยังไปเรียนศาสนาที่มัสยิดและตาดีกาในช่วงเย็นและวันเสาร์-อาทิตย์ และรู้สึกว่า การสอนศาสนาของที่นี่ดีกว่าในโรงเรียนมาก ฉะนั้นหลังเรียนจบจากตาดีกาแล้วก็จะไปเข้าเรียนโรงเรียนปอเนาะต่อ เพื่อนก็มีความคิดเช่นนั้นเช่นกัน แต่ละคนบอกว่า การสอนศาสนาที่นี่ยังเข้มข้นสู้ที่ตาดีกาไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเธอเต็มใจจะอยู่ในวงจรชีวิตที่ต้องเรียนหนักเช่นนี้ต่อไป แม้การบ้านจากทั้ง 2 สถานที่ ทำให้ต้องเข้านอนเกือบ 4 ทุ่มทุกวันก็ตาม แต่ก็เต็มใจ
อย่างไรก็ตาม สมเกียรติ บอกว่า ปัญหาเช่นนี้อาจมีอยู่ในช่วงแรกของการเปิดสอนอิสลามศึกษาแบบเข้มข้นอยู่บ้าง เพราะชาวบ้านยังไม่เชื่อมั่นอย่างเต็มร้อย ต้องรอเมื่อผลสอบโอเน็ตออกมาแล้วเด็กได้คะแนนดีขึ้น รวมทั้งผลทดสอบมาตรฐานอิสลามศึกษา หรือไอเน็ต ที่ดำเนินการจัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติสอบ (สทศ.) ออกมา จะเรียกความเชื่อมั่นได้เพิ่มขึ้น แล้วเมื่อนั้นจะได้เห็นบรรยากาศเก่าๆ ที่เด็กๆ ชาวบ้าน ทั้งพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมในรั้วด้วยกัน โดยปราศจากความขัดแย้ง