ไลฟ์สไตล์

ไหว้ศาลเจ้าหน่าจาซาไทจื้อ ... ชมอาทิตย์ตกที่หาดวอนนภา

ไหว้ศาลเจ้าหน่าจาซาไทจื้อ ... ชมอาทิตย์ตกที่หาดวอนนภา

31 ก.ค. 2554

ไหว้ศาลเจ้าหน่าจาซาไทจื้อ ... ชมอาทิตย์ตกที่หาดวอนนภา : เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์

          "ร้านอยู่ที่ไหนนะ"  ฉันถามพี่สาวชาวเมืองชลบุรี ถึงสถานที่นัดหมายพบปะพูดคุยกัน ในยามที่เพื่อนแดนไกลเดินทางกลับประเทศ

          "เลยศาลเจ้าหน่าจาฯ มาหน่อย ศาลเจ้าใหญ่ๆ เลย พอเห็นก็ชะลอรถได้ " อ่า.. ได้ซิ รับปากงงๆ จากปกติที่ฉันไม่ได้เดินทางไปภาคตะวันออก ก็มักจะเลยผ่านไปสถานที่ไกลๆ มากกว่า โดยใช้เส้นทางบายพาส หรือไม่ก็ทางหลัก คราวนี้นัดกินข้าวเที่ยงกันที่อ่างศิลา ที่ร้าน "จ้าวทะเล"  ร้านอาหารริมทะเลที่อยู่เลยตลาด 133 ปีอ่างศิลาไปพอควร และอีกจุดที่บอกที่ตั้งของร้านได้คือ เลยศาลเจ้าหน่าจาฯ ลงเนินไปอีกหน่อยเดียว

          ฉันจดจำเส้นทางตามที่บอกกล่าว จากกรุงเทพฯ ขึ้นทางด่วนบูรพาวิถี  ใช้เส้นสุขุมวิทผ่านเข้าตัวเมืองนี่แหละ ถ้าไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน ก็ไม่ได้พลุกพล่านอะไร จนถึงสี่แยกเลี้ยวเข้าอ่างศิลา ถนนเริ่มเล็กลง ความพลุกพล่านเริ่มมากขึ้น เส้นนี้ถึงขั้นรถติดทีเดียวในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่เปิดตลาด 133 ปี เพราะส่วนหนึ่งรถที่แวะจอดข้างทาง หรือไปถึงตลาดแล้วหาที่จอดไม่ได้ ก็จอดกันข้างทางอีกนั่นแหละ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลสด ใหม่ ขึ้นจากเรือให้เลือกช็อปทีเดียว

          เลยตลาดมาหน่อยก็จะมีร้านอาหารริมทะเล แต่เพื่อนฉันที่เคยไปแอบกระซิบว่าราคาแพงพอๆ กับกรุงเทพฯ  ไม่เป็นไร เพราะร้านที่ฉันจะไปถูกกว่า และอร่อยด้วย แต่อยู่เลยศาลเจ้าหน่าจาซาไทจื้อนี่แหละ แถบนี้มีร้านอาหารอยู่ติดๆ กันหลายร้านทีเดียว แล้วแต่ใครจะชอบบรรยากาศร้านไหน ราคาไม่น่าจะทิ้งห่างกัน

          ผ่านเห็นศาลเจ้าเท่านั้นแหละ ฉันหมายมาดว่า เดี๋ยวต้องขอแวะหน่อยเถอะ ดูจากข้างนอก สวยงาม ใหญ่โต อลังการตามแบบฉบับศาลเจ้าจีน พอฉันถามไถ่เพื่อนเจ้าของถิ่น ถึงได้ทราบว่า ศาลเจ้านี้สร้างมาถึงวันนี้ก็น่าจะราวๆ 10 ปี ไม่นานนัก แต่ตอนนี้คนมากันเยอะ บางวันแทบไม่มีที่จอดรถ

          อิ่มมื้อเที่ยง พวกเราเลยใช้เวลาช่วงบ่ายอ่อนๆ จนบ่ายแก่ๆ กันที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไทจื้อ แรกที่ก้าวเข้าประตูไป เหมือนอยู่ในอีกบรรยากาศหนึ่ง ที่ไม่ใช่โลกภายนอกที่พลุกพล่าน สิ่งที่ดึงดูดสายตาฉัน เห็นจะเป็นรูปหล่อเทพเจ้าหน่าจาฯ ที่อยู่กลางสระบัวขนาดใหญ่ ด้านหน้าวิหารหลังใหญ่ แล้วยังมีหอใหญ่ เป็นหอกลอง และหอระฆัง อยู่ด้านซ้าย และขวาของตัววิหาร  อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของฉันเห็นจะเป็นเสามังกรที่สูงลิบลิ่ว จนฉันแทบจะนอนกับพื้น ถ้าจะถ่ายตั้งแต่โคนจรดปลายเสาให้ได้ มังกรที่พันเสาแต่ละตัว สีสันสวยงาม

          สอบถาม รื้อค้นข้อมูลได้ความว่า ศาลเจ้าแห่งนี้เริ่มสร้างเมื่อราวเดือนมีนาคม 2534  บนเนื้อที่ประมาณ  200  ตารางวา โดยท่านอาจารย์สมชาย พุทธนพ เป็นผู้ริเริ่มสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ แรกเริ่มเป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ แต่มีลูกศิษย์และผู้ที่ให้ความเคารพนับถือมาสักการบูชาเป็นจำนวนมาก ด้วยบารมีแห่งองค์เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อทำให้ผู้ที่มากราบไหว้  มีความร่มเย็นเป็นสุข  มีชีวิตที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในธุรกิจการค้ามากมาย

          ต่อมา ท่านอาจารย์สมชาย พุทธนพ ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะสร้างศาลเจ้าหลังใหญ่ขึ้นเพื่อ “เฉลิมพระเกียรติครบรอบ 72 พรรษา ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในการเริ่มก่อสร้างศาลใหญ่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2538 แล้วเสร็จในเดือนเมษายน 3543 ใช้เวลาก่อสร้างกว่า  4  ปี  ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 300 ล้านบาท  สร้างอยู่บนเนื้อที่  5 ไร่  และยังมีเนื้อที่อยู่รอบศาลเจ้าอีกกว่า  9  ไร่ จากนั้นก็มีการสร้างต่อเติม เพิ่มแต่งเรื่อยๆ อีกเป็นปีๆ และขยายเนื้อที่  จนปัจจุบันมีเนื้อที่รวมกว่า 25 ไร่

          วิหารหลังใหญ่ เป็นวิหาร 4 ชั้น ได้รับพระราชทานนามวิหารจากสมเด็จพระสังฆราช ว่า "วิหารเทพสถิตพระกิตติเฉลิม" มีความหมายว่าเป็นที่สถิตของทวยเทพเจ้าทั้งหลาย

          หน้าบันไดทางขึ้นด้านล่าง จะมีรูปหล่อเทพเจ้าหน่าจา องค์ใหญ่ และมีสิงห์โต 2 คู่อยู่ด้านข้าง ซึ่งหน้าตาสิงโตคู่หนึ่งดูดุดัน แต่อีกคู่หนึ่งฉันว่ามันตลกดี เหมือนสิงโตขี้เล่น เสาแต่ละต้นของวิหาร และทุกหอที่อยู่ในบริเวณ จะมีมังกรที่สลักอย่างสวยงามทุกต้น ส่วนภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีพระพุทธรูป และยังมีเทพเจ้าประจำปีเกิด ตลอดจนเทพเจ้าต่างๆ มากมาย โดยเปิดให้ประชาชนเข้าชมและกราบไหว้ แต่ห้ามถ่ายรูปด้านในนะคะ
  อ้อ.. ถ้ามีโอกาสอยู่จนเย็น บนชั้น 4 ของวิหารสามารถชมวิวอาทิตย์ตกทะเลได้อีกด้วย สวยงามจริงๆ

          หากใครมีเวลา ไม่อยากเบียดคนเยอะ หรือฝ่ารถติด ก็เลือกไปวันธรรมดาได้ หรือ เลือกช่วงที่คิดว่าคนน้อย คือ ไม่เช้าๆ ก็เย็นๆ เพราะศาลเจ้าหน่านาซาไทจื้อ เปิดให้เข้าชมทุกวัน จันทร์-ศุกร์ 08.00-17.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 08.00-18.30 น. พิเศษหน่อยก็วันเสาร์หน้า 6 สิงหาคม จะมีงานฉลององค์จูแซเนี้ย ทางศาลเจ้าจะจัดให้มีการถวายพระพรยิ่งใหญ่ในเวลาประมาณ 11.00 น.ด้วย

          ไหว้เจ้าเสร็จ ต่างแยกย้ายกันกลับ ส่วนฉันขอไปกินลมชมทะเลต่ออีกหน่อย ไหนๆ ก็มีโอกาสมาทั้งที จากหน้าศาลเจ้าเส้นอ่างศิลา ฉันขับรถมุ่งหน้า "บางแสน" ผ่านไปทางเขาสามมุข แหลมแท่น เลาะเลยขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง มีการจัดระเบียบร้านค้าให้อยู่เฉพาะแนวด้านบน สะอาดสะอ้านขึ้นกว่าเดิม ฉันขับรถมุ่งหน้าตรงไปจนถึงวงเวียนป้ายต้อนรับ ที่จะเลี้ยวซ้ายออกสุขุมวิท ผ่านหน้า ม.บูรพา แต่ฉันอ้อมวงเวียน เลี้ยวซ้ายไป "หาดวอนนภา"

          ช่วงนี้ ฉันขับรถไปตามเป็นถนนปูอิฐ  ริมชายทะเล มีแค่แนวเก้าอี้ผ้าใบกั้น อีกฝั่งจะเป็นร้านอาหาร ที่พัก แต่พอเลยไปอีกหน่อยก็จะสุดแนวเก้าอี้ผ้าใบ คราวนี้ก็จะเป็นแหล่งฝังตัวของฉันหละ โดยมากฉันจะเลยขึ้นไปไกลหน่อย จนเกือบจะถึงสวนสาธารณะแสนสุข ที่อยู่ริมทะเล เนื่องจากว่าตรงนี้จะค่อนข้างสงบ แต่ไม่กันดาร เพราะมีร้านอาหารทั้งประเภทแผงลอยปิ้งย่าง  ร้านขนมปังนมสด ไปจนถึงร้านหรูมีดนตรีสดเล่นให้ได้ยินข้ามถนนเลยทีเดียว

          พอช่วงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ฉันเลยไปแถวสะพานปลา ที่เห็นอยู่ไม่ไกล มีเรือเข้ามาจอดเทียบท่า ขึ้นผลผลิตทางทะเล ปล่อยลูกเรือพักผ่อน แต่สำหรับฉัน มุมนี้ถือเป็นจุดชมวิวชั้นยอด วันอากาศดีๆ หันซ้ายจะเห็นไปถึงเขาเขียว-บางพระ อยู่ลิบๆ ส่วนขวามือก็แนวชายหาดบางแสน แถมด้วยยามนี้จะมีกิจกรรมใหม่ที่กำลังคึกคัก คือการเล่นโต้คลื่น แบบต่างๆ บางวันอาจจะมีพารามอเตอร์ ให้ตื่นเต้นอยู่บนท้องฟ้าอีกด้วย

          หาดวอนนภาที่สภาพริมหาดเป็นโขดหิน ไม่มีแนวเก้าอี้ผ้าใบเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เงียบเหงาเหมือนในอดีต เพราะถูกแต่งแต้ม เติมเต็มด้วยกิจกรรมทางทะเล และสีสันของท้องฟ้ายามเย็น ชวนให้ใครต่อใครชอบมานั่งดูอาทิตย์ตก หรือตั้งวงปิกนิกยามค่ำ ขณะที่โซนชายหาดปิดเงียบไปแล้ว