ไลฟ์สไตล์

"พายุ" ในวันที่ไม่มี "แม่"

"พายุ" ในวันที่ไม่มี "แม่"

30 ก.ค. 2554

"พายุ" ในวันที่ไม่มี "แม่" (วันเสาร์ที่30 ก.ค.)

          พลันที่เสาหลักอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์หรู "ไพร์ม เนเจอร์ กรุ๊ป" อย่าง สุนัทที เนื่องจำนงค์ ต้องจบชีวิตลงอย่างไม่คาดฝัน กลายเป็นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่มีผู้คนติดตามในวงกว้าง สิ่งที่ถูกจับตามองไม่แพ้ปฏิบัติการไล่ล่าฆาตกรโหดมาลงอาญาบ้านเมือง คงหนีไม่พ้นนับจากนี้ธุรกิจหมื่นล้านในวันที่ขาดหัวเรือใหญ่จะเดินต่อไปอย่างไร

          และท่ามกลางความปั่นป่วนนี้เอง ทำให้ได้เห็นภาพหนึ่งในสามทายาทสืบทอดกิจการ "พายุ" พรรณธกฤต เนื่องจำนงค์ ที่ต้องแบกรับแรงกดดันรอบด้านในฐานะลูกชายคนโตไปโดยปริยาย จังหวะเดียวกันก็มีกระแสข่าวไม่สู้ดีนักรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทกับดาราดังเรื่องการซื้อขายเฟอร์นิเจอร์หรู หรือข่าวซุบซิบในวงสังคมด้วยเหตุเลิกรากับแฟนสาวไฮโซ ซึ่งดูเหมือนว่าชายหนุ่มวัย 28 ปีที่ตอนนี้นั่งกุมบังเหียนสูงสุดในองค์กรจะโดน "พายุ" ซัดกระหน่ำจนต้องหลบไป "ตั้งหลัก" พักใหญ่ เขาปัดที่จะให้สัมภาษณ์ตามหน้าสื่อ !!

          แต่วันนี้หลังพายุเริ่มอ่อนกำลัง "คม ชัด ลึก" ถือเป็นสื่อฉบับแรกและฉบับเดียวที่เจ้าตัวยอมเปิดปากพูดคุยทุกเรื่องที่คาใจผู้คนมานานในรอบ 1 ปี 7 เดือน อันแสนสาหัส...

หายหน้าหายตาไปจากวงสังคมเลย

          ไม่ได้หายไปไหน ปกติก็ไม่ค่อยได้ออกงานอยู่แล้ว เพราะแม่ไม่อยากให้ไปเท่าไหร่ ล่าสุดเพิ่งไปงานครบรอบ 1 ปีของโรงแรมเรเนซองส์ ส่วนใหญ่ถามว่าอ้วนขึ้นนะ ซึ่งเป็นคำทักทายที่ไม่สู้ดีนัก (หัวเราะ) ผมว่าชื่อ "พายุ" ควรจะไปเปลี่ยนนะ เหมือนหาเรื่องเข้าตัวตลอด ตอนนี้ก็รับทั้งหมดของคุณแม่มา เพียงแต่ไม่มีคนอย่างคุณสุนัททีคอยให้คำปรึกษาหารือ แต่ทำคนเดียวคงไม่ใช่ ยังมีญาติๆ และน้องสาวอย่าง "พานี" ฑีรนาฏ กับ แพร เป็นแบ็กอัพอีกที น้องสาวเก่งและฉลาดกว่าผมเยอะ ผมมีความเชื่อว่าอย่างคุณแม่เอง ตอนที่ขึ้นมาก็ไม่มีใครยอมรับเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าผู้หญิงจะมาเป็นลีดเดอร์ในองค์กรอสังหาริมทรัพย์ที่มีคนรู้จักได้อย่างไร เช่นกันน้องผมเองเขาเก่ง คนควรจะให้โอกาสเขา

ช่วงที่มีปัญหา ตั้งรับอย่างไร

          พอคุยกับหมอแล้วรู้ว่าช่วยคุณแม่ไม่ได้ เราต้องเริ่มทำงานตั้งแต่นาทีแรก เริ่มมอบหมายกันแล้ว อย่างน้อยต้องจัดการเรื่องคดีของคุณแม่ก่อน แทบไม่มีเวลาขอไปนั่งร้องไห้สักชั่วโมงสองชั่วโมง ตั้งแต่แม่เสียผมยังไม่เคยร้องไห้เลย สิ่งที่ยากสุดคือ ช่วงสองอาทิตย์แรก ทุกเช้าตื่นมาแม่ไม่อยู่แล้วนะ จัดการภารกิจเสร็จเย็นต้องไปงานศพ กลับมายังต้องคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ พรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง เป็นอย่างนี้ซ้ำๆ  คือผมเข้าใจความรู้สึกเลยคนที่สูญเสียอย่างหนักแล้วแต่ละวันไม่อยากลุกจากเตียงมันเป็นยังไง แต่ชีวิตจริงมันต้องลุก

          และสิ่งที่แม่สอนแม่ปฏิบัติต่อเราก่อนหน้านี้เหมือนว่าเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ช่วงอาทิตย์นั้น ทุกอย่างมันรับรู้ได้ เมื่อก่อนไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องดุ ท้ายที่สุดแล้วถึงเวลาเหมือนกับให้เราเข้มแข็ง ที่สำคัญสภาพจิตตอนนั้นต้องแกร่ง ถ้าไม่มีตรงนี้ก็คงประสาทแตกไปเลยมั้ง ทั้งเรื่องกฎหมาย คดี บริษัท พี่น้อง ต้องมีสติ และสมาธิมากๆ

กดดันไหมในฐานะลูกชายคนโต

          ตอนแรกผมกดดันตัวเองมากที่ต้องทำตรงนี้ให้สำเร็จ ความจริงแม่ก็คงไม่โกรธอะไรหรอกถ้าเราทำเต็มที่แล้ว แล้วผู้ใหญ่ก็คงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นด้วย สิ่งเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบให้ผมผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาถึงวันนี้ ซึ่งในองค์กรผมก็เป็นพนักงานคนหนึ่ง แม่เคยสอนว่าเวลาอยู่ในที่ประชุมเขาเป็นผู้ใหญ่ก็จริง เราให้ความเคารพในฐานะผู้ใหญ่ แต่พื้นฐานข้อเท็จจริงเราต้องว่าไปตามสภาวะที่เท่าเทียมกัน ตอนนี้ก็ยังคิดว่าแม่ยังเป็นนายใหญ่อยู่ ผมไม่อยากมองว่าตัวเองเป็นเสาหลัก แต่เป็นเพียงเสาหนึ่ง น้องๆ ก็เสาหนึ่ง พ่อก็อีกเสาหนึ่ง คอยเป็นกำลังใจให้ลูกๆ

ความคืบหน้าคดีของคุณแม่

ยังไม่จบ เพราะมีหลายคนมาเกี่ยวข้อง แต่ผมพูดมากไม่ได้ เพราะยังอยู่ในกระบวนการ ผมก็ไม่อยากให้เสียรูปคดี ตรงนี้เราก็กัดไม่ปล่อย มีเหมือนกันที่ปล่อยข่าวคนที่เกี่ยวข้องออกมา พยายามหาแพะรับบาป ผมบอกเลยว่าหนึ่งในการรักษาชื่อให้คุณแม่ คือการลากคนพวกนี้ให้มาอยู่ในสปอตไลท์ ให้คนเห็นให้หมด คือพวกคนกลุ่มนี้ช่องทางออกของมันก็คือการรังแกผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องไล่ล่ามัน ผมว่ามันชัดขึ้นทุกวัน ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ยังไงผมก็นอนตายตาไม่หลับอยู่ดี ตราบที่ยังไม่รู้ว่าคนกลุ่มไหนทำกับแม่ผม

แล้วคดีกับ "เปิ้ล" นาคร ล่ะ

          ผมบอกเลยขนาดคนที่ฆ่าแม่ผม ให้ลากมายืนอยู่ข้างหน้า แล้วเอาปืนให้ผมแล้วบอกว่าทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องกลัวติดคุก ผมทำไม่ได้จริงๆ ผมฆ่าเขาไม่ลง ทำไปแล้วไม่ได้แม่ผมกลับคืนมา เพราะฉะนั้นกับคนที่ถึงเวลามาด่าว่าผม ผมสมเพชเขา แต่ที่ต้องฟ้องหมิ่นประมาทคือเขาลามปามมาถึงแม่ พ่อ น้อง ครอบครัว ผมยอมไม่ได้ ไม่ให้เกียรติแม่ผมเลย มันไม่ใช่ละครตลกที่เขาทำออกทีวี นี่คือชีวิตจริง อีกด้านหนึ่งผมไม่ใช่พายุในฐานะบุคคลเท่านั้นแต่เป็นผู้บริหารด้วย ถ้ามีคนบอกว่าถึงเวลาจะเชื่อใจยังไงคุยกันเป็นหลักล้าน ขนาดหลักหมื่นหลักแสนมันยังโกง ตอนนี้ก็ยังไม่จบ เขาอุทธรณ์ คนประเภทนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง 

กับข่าวเลิกรา "น้องเล็ก" กรกนก ยงสกุล

          ไม่อยากให้ไปโจมตีฝ่ายไหน หรือมองว่าฝ่ายหญิงซ้ำเติมผม เพื่อนเล็กก็กลุ่มเดียวกับผม มันไม่ใช่ความสัมพันธ์เด็กมัธยมเลิกกันด้วยเหตุไร้สาระ อยากให้เกียรติเล็กด้วย เล็กกับผมก็เป็นเพื่อนกัน (แต่เหตุเกิดช่วงเวลาเดียวกันเลย?) คือหลังจากนั้นราวครึ่งปีถึงแยกกัน ต้องบอกว่าเขาก็ช่วยซัพพอร์ทผมและครอบครัวระหว่างที่มีวิกฤติ จะมาบอกว่าเขาหนีหรืออะไร ต้องเป็นผู้ใหญ่พอ แล้วแฟร์ที่ว่าบางทีความสัมพันธ์ถ้ามันไม่เวิร์ก ต่างฝ่ายต่างต้องการสิ่งที่ไม่เหมือนกันก็ควรคืนอิสระให้กัน 
 ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมดูแลเขาไม่ดี หรือจุดจุดหนึ่งผู้หญิงต้องมีคนดูแล ไม่ใช่พูดถึงแค่เล็ก หมายถึงทั่วๆ ไปด้วย การที่มาถึงจุดจุดหนึ่งผมออกไปไหนกับเขาไม่ได้ มันก็ไม่แฟร์ที่ให้เขารอไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่อยากให้มองว่าผู้หญิงหนีเมื่อเจอปัญหา แต่ถ้าเขาคิดอะไรอยู่ตอนนั้นผมไม่รู้ แต่ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ถ้าอย่างนั้นเขาคงไปตั้งแต่เดือนแรกแล้ว เลิกรากับผมแล้วมีแฟนใหม่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ถ้ามีคนดูแลเขาดีก็โอเค

หลายเรื่องที่คาใจ ทำไมไม่อยากออกมาแก้ข่าว

          ก็เพราะสื่อบางฉบับเล่นเราหนัก ผมเข้าใจว่าเขาขายข่าว แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องรู้ด้วยว่าคนที่อ่านน่ะยังมีญาติ มีลูกหลานเขาอ่านด้วย มันเป็นเส้นบางๆ ระหว่างจรรยาบรรณของสื่อที่ต้องให้ข้อเท็จจริง กับคนที่อยากขายข่าวอย่างเดียว พี่ๆ ที่เห็นใจเราก็เสนอนะว่าทำไมไม่แก้ข่าว ส่วนพวกที่ต้องการให้โต้ตอบกันจะได้ขายข่าวก็เล่นไม่เลิก ถึงขนาดมีผู้ใหญ่บางคนบอกว่านี่นะให้พื้นที่ไปหนึ่งหน้าเลยเอาไปชี้แจง ผมว่าไม่ใช่เรื่อง ผมโฟกัสแต่เรื่องสำคัญดีกว่า ผมจึงจับมือกับน้องให้เราสามารถเดินต่อไปได้ รักษาชื่อเสียงแม่ไว้ให้ดีที่สุด

เรียนรู้อะไรบ้างจากมรสุมชีวิตครั้งนี้

          คนที่สนิทๆ ในวงสังคม พอเราลำบากก็ชิ่งหาย แต่อย่างที่บอกปกติก็ไม่ออกงานอยู่แล้ว ที่ออกสังคมเมื่อก่อนก็เพราะเล็ก (อดีตแฟน) ตั้งแต่แม่เสียคนแสดงธาตุแท้ตัวเอง หลายคนที่ดูไม่ชัวร์ว่าใช่ ส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นประเภทไหน ก็ดีแล้ว ไม่ใช่แฝงตัวอยู่กับผมสามสี่ปีแล้วมาแสดงตัวทีหลัง พวกหุ้นส่วนธุรกิจที่มาหน้าไหว้หลังหลอกก็มาก แล้วมีพวกอ้างคนตาย ผมเอือมระอา เป็นแบบนี้จริงๆ คือผมแฟร์ๆ อะไรไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่ ส่วนคนดีๆ ที่เราไม่คิดว่าเขาจะมาช่วยก็เยอะ พวกคิดไม่ดีถ้าผมพูดชื่อตอนนี้พวกเขาคงจะฆ่าผมแน่

พายุสงบหรือยัง แล้วก้าวต่อไป

          ตอนนี้จะบอกว่าเป็นลูกคุณสุนัททีมันไม่ช่วยอะไร เราต้องเริ่มด้วยรอยเท้าตัวเองแล้ว ผมเอาตัวเข้าไปจัดการเองแทบทุกเรื่อง พายุยังไม่สงบครับ ถ้ามองอย่างนั้น พอใจแค่นั้นมันก็เหมือนกับละเลยหน้าที่ จนกว่าทุกอย่างจะตลอดรอดฝั่งจริงๆ เราทิ้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้

อยากจะฝากอะไรถึงคนที่อาจต้องเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน

          เรื่องตั้งตัวไม่ทัน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าเราตั้งตัวทันเรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิด อยู่ที่หลังจากเกิดขึ้นแล้วเราจะจัดการอย่างไร ต้องรู้ว่าหน้าที่ที่ต้องทำคืออะไร อย่างรถชนต้องเรียกรถพยาบาล เรียกประกัน เลื่อนรถ มันเป็นสเต็ปที่ต้องทำ ส่วนใหญ่ที่ทำไม่ได้เพราะเอาอารมณ์มาเป็นหลัก เมื่อก่อนผมค่อนข้างเลือดร้อน ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ไม่ร้อนนะ เพียงแต่พอเกิดเรื่องทำให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก หวังว่าในชีวิตนี้คงไม่มีอะไรหนักกว่านี้แล้ว แต่ก็เตรียมใจเพราะผมยังไม่ถึง 30 เลย อาจจะมีอะไรเข้ามาอีกก็ได้...


ชาญยุทธ ปะวะขัง...เรื่อง
นัทพล ทิพย์วาทีอมร...ภาพ