
หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์
หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ (วันเสาร์ที่30 ก.ค.)
ตอนที่ลูกๆ อายุเพียงไม่กี่ขวบนั้น ผมและภรรยาได้พาพวกเขาไปเที่ยวที่สวนสาธารณะอันร่มรื่น ขณะที่นั่งรับประทานอาหารกันอย่างมีสุขก็มีเด็กผู้ชายเนื้อตัวมอมแมมมายืนอยู่ใกล้และมองด้วยสายตาละห้อย ผมคิดว่าเขาคงหิวจึงกระซิบถามลูกว่า “อยากจะแบ่งขนมให้หรือเปล่า ในรถยังพอมีขนมอยู่นะ”
ลูกๆ มองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่น้อยๆ ที่น่ารัก ก่อนจะตกลงกันว่าแบ่งขนมให้หนึ่งกล่อง ผมจึงพาไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล เมื่อลูกๆ ได้นำขนมไปยื่นให้เด็กผู้ชายคนนั้น ผมก็เห็นมิตรภาพที่ใสซื่อและสื่อถึงกันอย่างจริงใจผ่านแววตา นั่นคือมหานทีที่ไหลเนื่องนำความชุ่มฉ่ำมาสู่ใจผม
ขนมเพียงหนึ่งกล่องให้ “ความสุข” ทั้งผู้รับและผู้ให้ ทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่ เป็นผลตอบแทนทางใจที่เปิดดวงตาให้มองเห็น “อัศจรรย์แห่งความเมตตา”
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมและภรรยาพยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังสิ่งดีๆ ให้ลูกในทุกๆ เรื่อง ทั้งการอบรมสั่งสอน ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาทำในสิ่งที่สร้างสรรค์
แต่ไม่ว่าจะสอนเรื่องใดก็ตาม เรื่องความเมตตาจะต้องมีสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ เพราะเราทั้งสองคนเชื่อว่าความเมตตาเป็นรากฐานสำคัญในจิตใจ ยิ่งพวกเขามีฉันทะและความปีติยินดีที่จะเป็น “ผู้ให้” มากเท่าใด ก็ยิ่งปิดช่องทางการกระทำที่เบียดเบียนชีวิตอื่นเพราะ “เอาแต่ได้” มากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความเมตตาอย่างเดียวคงจะไม่พอ เพราะถ้ามีเมตตาแต่ขาดปัญญาก็จะกลายเป็นคนโง่ที่ใจดี ชอบช่วยเหลือคนแบบผิดๆ วางท่าทีต่อผู้คนอย่างผิด สุดท้ายก็จะถูกชักนำหรือพาตัวเองถลำไปในทางผิด
ผมและภรรยาจึงมุ่งเน้นการสอนลูกๆ ทั้งเรื่องความเมตตาและการใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ไปพร้อมกันเสมอ ยังเคยพูดกันแบบทีเล่นทีจริงว่า “เราเป็นพ่อแม่ที่สอนทุกอย่างที่ขวางหน้า และไม่ได้สอนด้วยการสอนเท่านั้น บางเวลาก็สอนด้วยการไม่สอนด้วย” บางเรื่องผมและภรรยาจะวางเฉยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้โลกด้วยตัวเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าพวกเขากำลังจะพลาดเพราะคิดผิด ก็จะชี้นำไปในทางที่ถูกต้อง หรือแม้แต่เรื่องที่พวกเขาอาจจะเคยผิดพลาดบ้างตามประสาเด็ก ก็ให้ใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ฉลาดคิดยิ่งขึ้น
“การเปิดโลก” ในมิติที่หลากหลายให้ลูกๆ เห็นในเวลาที่เหมาะสมเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ไม่อาจปฏิเสธหรือละเลยได้ ดังนั้นต่อให้ลูกๆ ก้าวหน้าบนเส้นทางการทำงานหรือมีสถานะสำคัญในสังคมเมื่อเติบโตขึ้น ผมก็ยังจะสอนลูกๆ ถ้าเห็นว่าพวกเขากำลังจะก้าวถลำไปในทางผิดหรือสำคัญตัวเองอย่างผิดๆ
เพราะว่านี่คือ “หน้าที่” ของผมในฐานะ “พ่อ” คนเป็นพ่อมีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่นอกจากต้องปกปักรักษาลูกให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงและเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังจะต้องเลี้ยงจิตใจของลูกให้เป็น “มนุษย์” ที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีและมีคุณธรรม ไม่ใช่ยิ่งเติบโตยิ่งอันตราย ยิ่งมีความรู้ยิ่งเจ้าเล่ห์ ยิ่งเก่งยิ่งร้าย
ผมสอนลูกๆ ให้กลัวความผิดบาปมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่จะตามมาเมื่อเอาเปรียบ คดโกงหรือทำร้ายคนอื่น ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างมากเพราะคำสอนเหล่านั้นฝังลึกในจิตใจพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันมีข่าวเศร้าจำนวนมากที่ปรากฏผ่านสื่อ บรรดาเด็กและเยาวชนก่อคดีอุกฉกรรจ์ ทั้งการเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด การล่วงละเมิดทางเพศ ไปจนถึงการทำร้ายเข่นฆ่าคู่อริต่างสถาบัน ซึ่งทั้งหมดนั้นคนเป็นพ่อแม่คงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
ยิ่งข้ออ้างที่ว่า “ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกเพราะต้องทำงานหาเงิน” ยิ่งฟังไม่ขึ้น
ในฐานะคนที่ทำงานมาแล้วกว่าครึ่งชีวิต ผมไม่เคยคิด ไม่เคยเชื่อว่ามีงานอะไรที่ต้องใช้เวลามากถึงขั้นไม่เหลือเวลาให้ลูก หรือสำคัญมากไปกว่าความอบอุ่นที่ต้องมีให้ลูก
เวลาในแต่ละวันสามารถบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ก้าวไกล คนเป็นพ่อแม่ยังใกล้ชิดลูกได้เสมอ ถ้ารู้จักใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
บางเวลาที่ต้องห่างกัน เสียงบอกรักจากใจพ่อผ่านโทรศัพท์มือถืออาจเปลี่ยนความว้าเหว่ในใจลูกให้กลับมั่นคง ถ้อยความแห่งอาทรของแม่ผ่านช่องทางออนไลน์อาจช่วยให้ลูกที่คลอนแคลนหวั่นไหว ไม่ถลำออกนอกทางเพราะขาดความยั้งคิด หรือตกเป็นเหยื่อสิ่งยั่วเร้าในสังคมที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีสิ่งใดจะแนบแน่นเท่าสัมผัสทางกายที่ถ่ายทอดจากใจพ่อแม่ในเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะ “อ้อมกอดที่มีให้ลูก”
ผมเชื่อมั่นว่าเด็กๆ จะไม่พึ่งยาหลอนเพื่อล่องลอยเคว้งคว้างไปในโลกแห่งความฝัน ถ้าหากว่าในโลกความจริงมีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้าง คอยรับฟังความคิดความรู้สึกของพวกเขา
เด็กๆ จะไม่ล่วงละเมิดหรือทำร้ายเข่นฆ่าใคร ถ้าความดีงามในใจของพวกเขาไม่ถูกฆ่า และไม่มีใครอีกแล้วที่จะฆ่าความดีงามในใจเด็กได้มากไปกว่าพ่อแม่ที่ทิ้งขว้าง.... ไม่ใส่ใจไยดีในชีวิตของพวกเขา
สังคมไทยเวลานี้กำลังเสื่อมโทรมถึงขีดสุด และคงต้องเสื่อมทรามไม่สิ้นสุด ถ้าคนเป็นพ่อแม่ขาดความเมตตาต่อลูก ละทิ้งหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป
โดย...ฤทธิพร อินสว่าง