ไลฟ์สไตล์

ต้อกระจก

ต้อกระจก

20 ก.ค. 2554

โรคต้อกระจก เกิดจากการขุ่นมัวของแก้วตา (เลนส์ตา) โดยปกติแก้วตามีลักษณะใส ทำหน้าที่รวมแสงให้ตกลงพอดีบนจอประสาทตา เมื่อเกิดต้อกระจกจอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่

 ทำให้ผู้ป่วยมีสายตาพร่ามัว เหมือนมองผ่านกระจกฝ้า แต่ไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใดๆ ยิ่งแก้วตาขุ่นขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลง
 - ต้อกระจก ไม่ใช่โรคติดต่อ และจะไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองตา แต่อาการอาจรุนแรงไม่เท่ากัน
 - การใช้สายตามากๆ ไม่เป็นสาเหตุของต้อกระจกหรือทำให้อาการของโรคนี้รุนแรงขึ้น
 - ต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ กว่าที่สายตาของผู้ป่วยส่วนมากจะขุ่นมัวจนมองเห็นไม่ชัด อาจใช้เวลานานเป็นหลายเดือนหรือหลายสิบปี โดยทั่วไปต้อกระจกถือว่าเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ผลดีมาก
สาเหตุของต้อกระจก 
 วัย สาเหตุของต้อกระจกที่พบบ่อยที่สุด คือ ความชราซึ่งทำให้แก้วตาขุ่นมัวและแข็งขึ้น แต่ต้อกระจกชนิดนี้อาจเกิดขึ้นได้บ้างในผู้ป่วยที่มีอายุเพียง 40 ปี
 อุบัติเหตุ ต้อกระจกเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย หากดวงตาได้รับอันตรายจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถูกของมีคม หรือสารเคมี หรือแสงรังสี สายตาจะมัวลงทันที
 โรคตา หรือโรคทางร่างกายบางโรค เช่น การติดเชื้อของผู้ป่วยเบาหวาน การรับประทานยาบางชนิด และโรคตาบางโรค อาจจะเป็นสาเหตุหรือกระตุ้นให้ต้อกระจกขุ่นเร็วขึ้นได้
 กรรมพันธุ์ และความผิดปกติแต่กำเนิด ในกรณีที่ผู้ป่วยยังเยาว์วัย ต้อกระจกเกิดขึ้นได้จากกรรมพันธุ์ หรือการติดเชื้อ และการอักเสบตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น มารดาเป็นหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์ แต่ในหลายรายต้อกระจกก็เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด
อาการ
 - สายตามัวเหมือนมีฝ้า หรือหมอกบัง จะมัวเร็ว หรือช้า มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับและตำแหน่งของความขุ่นมัวในเนื้อเลนส์แก้วตา หากเป็นเฉพาะในบริเวณขอบๆ ผู้ป่วยจะยังมองเห็นได้ชัดตามปกติ
 - เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า และสู้แสงไม่ได้ อาการระยะแรกของต้อกระจกในบางรายสายตาผู้ป่วยจะสั้นขึ้น ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ เมื่อต้อกระจกรุนแรงขึ้น สายตาจะขุ่นมัวจนแว่นตาช่วยอะไรไม่ได้ รูม่านตาที่ปกติเห็นเป็นสีดำ จะกลายเป็นสีเหลืองหรือขาว
วิธีรักษา
 บางกรณี จักษุแพทย์บางท่านอาจใช้ยาหยอดตาเพื่อพยายามชะลอความรุนแรงของต้อกระจก แต่ไม่มียาชนิดใดสามารถลด หรือหยุดต้อกระจกได้ เมื่อสายตาขุ่นมัวจนเกิดความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติแล้ว การผ่าตัด หรือการสลายต้อกระจก จะเป็นวิธีรักษาที่ช่วยทำให้สายตาของผู้ป่วยใสขึ้นและมองเห็นได้ดังเดิม
ขั้นตอนการรักษา
 จักษุแพทย์จะตรวจวินิจฉัยดวงตาอย่างละเอียด เพื่อแยกชนิดตำแหน่งและความรุนแรงของต้อกระจก นอกจากนี้ จักษุแพทย์ยังต้องวัดความดันตา และตรวจน้ำวุ้นตากับจอประสาทตาอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่า ต้อกระจกเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้สายตาขุ่นมัว หรือมีโรคอื่นประกอบด้วย
 วิธีการลอกต้อกระจกที่นิยมใช้โดยทั่วไปมี 2 วิธี ภายหลังการลอกต้อกระจกแล้ว จักษุแพทย์จะใส่เลนส์แก้วตาเทียมให้แก่ผู้ป่วย เพื่อให้มองเห็นได้เป็นปกติ
 1.วิธีสลายต้อด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ หรือ “เฟโก” คือวิธีล่าสุดที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ในการใช้วิธีนี้ จักษุแพทย์เปิดช่องเล็กประมาณ  3 มม. จักษุแพทย์จะฝังเลนส์แกวตาเทียมแทนแก้วตาที่ขุ่นลงในถุงนี้ แผลที่เกิดจากการรักษาวิธีนี้มีขนาดเล็กมาก จึงสมานตัวได้เป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บ ภายหลังการสลายต้อ ผู้ป่วยจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างทันที แต่ควรเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลทำความสะอาดดวงตา รับประทานยา และหยอดยาตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด
 2.วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งตัวมาก จนอาจไม่เหมาะกับการสลายด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ จักษุแพทย์อาจใช้วิธีผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิม โดยเปิดแผลยาวประมาณ 10 มม. แพทย์จะใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ หลังจากนั้น จึงเย็บปิดแผลด้วยไหมไนลอนชนิดบางพิเศษ
 ภายหลังการลอกเลนส์แก้วตาที่เป็นต้อกระจกออกแล้ว ดวงตาจะไม่มีเลนส์แก้วตาทำหน้าที่รวมแสง มีผลให้สายตามัวอยู่ ดังนั้น จักษุแพทย์จึงใส่เลนส์แก้วตาเทียม เพื่อให้มองเห็นได้เป็นปกติ 
โรงพยาบาลนนทเวช 
โทร.0-2596-7888