ไลฟ์สไตล์

 “บัวโนสไอเรส”สุดยอดเมืองสุนทรีย์แห่งละตินอเมริกา

“บัวโนสไอเรส”สุดยอดเมืองสุนทรีย์แห่งละตินอเมริกา

03 ก.ค. 2554

ไม่ใช่ทุกเมืองในโลกนี้ที่จะมีบุคลิกชัดเจน และมีเอกลักษณ์อย่างโดดเด่น ถ้าไล่เรียงดูก็พอจะมีอยู่บ้าง อย่างเบอร์ลินอาจจะเท่ ดับลินดูชิค บูดาเปสต์ก็คลาสสิกอย่างเห็นได้ชัด ปรากสวยหยาดเยิ้ม กลาสโกว์ดูเก๋ไก๋ มอสโกดูสวยลึกลับ

             ฟลอเรนซ์มีศิลปะเป็นเครื่องหมายการค้า เวนิสก็มีกอนโดลาเป็นโลโก้ ส่วนบัวโนสไอเรสน่ะเหรอ ก็ดูสุนทรีย์ไปทุกหัวมุมถนน
    

 

        ตอนนี้คนไทยที่คิดจะไปเที่ยวอาร์เจนตินา สะดวกสบายมากขึ้น เพราะสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส (0-22592701-3) เปิดเส้นทางบินเชื่อมไปถึงทวีปอเมริกาใต้ จากกรุงเทพฯ บินไปตั้งหลักที่โดฮาซึ่งเป็นฮับของสายการบินกาตาร์กันก่อน  โดยใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง จากนั้นมีเวลาลงไปยืดเส้นยืดสายราว 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะการต่อเครื่องที่กำลังสวย แล้วบินต่อไปอีกเกือบ 18 ชั่วโมงก็ถึงบัวโนสไอเรส รวมแล้วถึงที่หมายแบบมึนๆ งงๆ อย่างเบาบาง

 

              เพราะรู้ดีว่าบัวโนสไอเรสเป็นเมืองยอดฮิต เรื่องที่พักต้องจับจองไปให้พร้อมไว้ก่อน ฉันคลิกเข้าไปสำรวจในเว็บไซต์อโกดา (www.agoda.co.th) เหมือนอย่างเคย แล้วก็พบว่า โดยเฉลี่ยค่าที่พักในบัวโนสไอเรสยังไม่ค่อยแพงเท่าในยุโรป และค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่บัวโนสไอเรสมีที่พักประเภทบูทีคโฮเท็ลเยอะมาก

 

             หลายปีผ่านไป บัวโนสไอเรสบางมุมดูเปลี่ยนไปบ้าง หลายมุมยังคงเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เคยห่างหายไปจากเมืองหลวงของอาร์เจนตินา คือความสุนทรีย์ที่ลอยละล่องอยู่ทั่วเมือง และมุมหนึ่งที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น  คือตอนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ริมจัตุรัสมายอ อาคารสีชมพูแบบนีโอคลาสสิกที่เรียกว่า คาซา โรซาดา ชวนให้นึกถึงอะไรหลายๆ อย่าง ดวงหน้าของมาดอนนาในมาดของมาดามเปรองลอยขึ้นมา ตอนมองที่ระเบียงของทำเนียบรัฐบาล บทเพลงอมตะแทรกตัวขึ้นมาท่ามกลางเสียงเบิ้ลเครื่องยนต์ของรถราที่อยู่รายรอบจัตุรัส  

 

             มาบัวโนสไอเรสคราวก่อน เขายังไม่เปิดให้เข้าไปชมด้านในของทำเนียบ แต่ทุกวันนี้เปิดเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่อนุญาตให้แขกเหรื่อทุกคนเข้าไปเยี่ยมชมกันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 
 ชั้นล่างมีรูปบุคคลสำคัญและบุคคลผู้มีชื่อเสียงของอาร์เจนตินาจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานาธิบดีหลายคน ไปจนถึงรูปคนดังอย่างเอวิตา เปรอง และ เช กูวารา ค่ะ  

 

             ส่วนชั้นบนก็มีห้องหับอันโอ่โถงมากมาย บางห้องเป็นฮอลล์ใหญ่ที่ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรด้วยโคมไฟ พรมและภาพบนผนัง บางห้องมีไว้ประชุมนัดสำคัญระดับประเทศ บางมุมดูเหมือนเป็นโต๊ะเก้าอี้ธรรมดา แต่ถูกบรรยายไว้ว่าเป็นโต๊ะที่มาดามเปรองเคยใช้งาน เท่านี้ผู้คนก็หยุดถ่ายรูปกันให้พรึ่บไปหมด 

 

             แต่ที่นี่เขาไม่อนุญาตให้เดินเอ้อระเหย จะมีเจ้าหน้าที่คอยนำทัวร์พาเดินไปทีละห้องเป็นรอบๆ ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัด เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก

 

             มองจากระเบียงที่มาดามเปรองเคยยืนโบกมือให้ประชาชน มองเห็นจัตุรัสมายอได้อย่างเต็มตา และมุมหนึ่งที่สวยโดดเด่นคือวิหารประจำเมือง ออกจากอาคารสีชมพู เลยพุ่งไปหาศาสนสถานประจำเมืองหลวง

 

              ก็ตามประสาโบสถ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเข้มขลัง มีทั้งรูปปั้นพระเยซู รวมถึงยังเป็นสุสานฝังศพของโฮเซ่ ซาน มาร์ติน วีรบุรุษของชาวอาร์เจนตินาที่พาประเทศต่อสู้กับกองทัพสเปน
 กระเถิบจากโบสถ์ไปนิดเดียว เป็นอาคารสีขาวที่เรียกว่า คาบิลโด ที่ซึ่งเป็นสภาเมืองในยุคอาณานิคม ที่ทุกวันนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกัน

 

             ก็ยังไม่ไปไหนไกล เดินขึ้นนิดเดียวเป็นถนนฟลอริดา ถนนสายช็อปปิ้งที่ทำให้คนมาเยือนอารมณ์เบิกบานได้เสมอ ถนนสายยาวเหยียดเส้นนี้ ถ้ามาเดินช่วงกลางวันในวันธรรมดา ก็จะเจอสภาพของผู้คนที่เบียดเสียดกันจนแทบไม่มีที่ว่างให้ถนนได้หายใจ ร้านรวงสองฝั่งถนนเปิดเรียงรายรอให้นักช็อปเข้าไประบายเงินเปโซกัน

 

             พอตกกลางคืนร้านรวงเริ่มปิด ตรงกลางถนนก็จะมีพวกแผงขายของมาวางแน่นถนน จนกลายเป็นตลาดนัดกลางคืนที่น่าช็อปไปอีกแบบ  แถมตลอดทางจะมีพวกศิลปินมาบรรเลงเพลงอย่างเพลิดเพลิน ถ้าไม่อยากพลาดอย่ามาเจอช่วงวันอาทิตย์เป็นใช้ได้ เพราะร้านส่วนใหญ่จะปิดกันเงียบ ยกเว้นพวกร้านอาหารที่ยังเปิดให้บริการอยู่

 

             ที่จริงถ้าไม่นับเรื่องช็อปปิ้ง บนถนนฟลอริดายังมีอาคารที่สวยงามและน่าสนใจหลายแห่ง เช่นที่แกลเลอเรียส์ แปซิฟิโค และศูนย์วัฒนธรรมบอร์เกส ซึ่งถ้าเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ นี้ แล้วโผล่ไปที่ถนนสายหลักของเมืองอย่าง อเวนิว นูเว เดอ จูลิโอ หรือ ถนน 9 ก.ค. ก็จะเจอกับถนนที่ทั้งยาวทั้งกว้าง เรียกว่าถ้าจะข้ามถนนสายนี้ อย่าผลีผลามข้ามเชียว ต้องค่อยๆ ข้ามไปทีละสเต็ป ว่ากันว่า ไม่ใช่กว้างที่สุดในประเทศ แต่เป็นถนนที่กว้างที่สุดในละตินอเมริกา 
 

 

            บนถนนสายนี้มีสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจมากมาย แต่ที่เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมอง ก็น่าจะเป็นเสาโอเบลิสก์ที่สร้างตั้งแต่ปี 1936 สูงเด่นเป็นสง่าเกือบ 70 เมตรตรงกลางถนน บางคนบอกว่า นี่คือสัญลักษณ์ของบัวโนสไอเรสในยุคนี้ด้วยซ้ำไป 
 

 

            นี่เป็นสถานที่ที่ธงอาร์เจนตินาถูกเชิญสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก รวมถึงยังเป็นเวทีทางการเมืองสำหรับกลุ่มประท้วงที่มักจะมาปักหลักกันรอบๆเสา หรือเวลามีการเฉลิมฉลองใดๆ ก็มักจะมาใช้มุมนี้ เช่นทีมฟุตบอลเวลาจะฉลองแชมป์ก็มารวมตัวกันที่นี่ บางทีก็เป็นที่จัดงานดนตรีอีกด้วย เรียกว่าเป็นมุมอเนกประสงค์ของชาวเมืองก็ว่าได้

 

             เดินเลยจากเสาโอเบลิสก์ไปไม่ไกลเป็นโรงละครโคลอนที่สร้างตั้งแต่ปี 1908 บัวโนสไอเรสมีโรงละครเพื่อให้ความบันเทิงเริงใจแก่ผู้คนมากกว่า 300 แห่ง แต่โรงละครที่ถือได้ว่ายิ่งใหญ่และงดงามที่สุดก็คือที่นี่ ปกติเขาจะมีพวกวงดุริยางค์ซิมโฟนี ละครร้องโอเปรา และการแสดงบัลเล่ต์ เวียนมาให้ชมกันตลอด นี่จึงเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่จะเผยให้เห็นความเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมอันสวยงามของบัวโนสไอเรส และถ้าใครอยากจะรู้ประวัติของราชาแทงโก้อย่างคาร์ลอส การ์เดล พิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวของเขาก็อยู่ในละแวกนี้ด้วย 

 

             จากถนนสายหลักของเมือง ฉันนั่งรถเมล์สาย 64 ไปหย่อนตัวลงแถวเรโกเลตา เพราะนอกจากสุสานเรโกเลตา ละแวกนี้มีทั้งโบสถ์ และตลาดนัดเอาไว้ให้เดินดมของสวยๆ งามๆ เต็มไปหมด แถมยังมีศูนย์วัฒนธรรม มีห้องสมุดแห่งชาติ และยังมีช็อปปิ้งมอลล์สวยๆ ที่ชื่อบัวโนสไอเรสดีไซน์ ที่มีไว้อวดงานดีไซน์เก๋ๆ ฮิพๆ

 

             แล้วบัวโนสไอเรสก็ทำให้เชื่ออีกครั้งว่า สุดยอดเมืองฮิพและเมืองสุนทรีย์แห่งละตินอเมริกา ไม่เคยมีใครช่วงชิงตำแหน่งนี้จากบัวโนสไอเรสไปได้ แม้โมงยามจะเคลื่อนผ่านไปกี่ปีแล้วก็ตาม
 
กาญจนา หงษ์ทอง