
เชียงแสนเสน่ห์เมืองโบราณริมฝั่งโขง
เมื่อสายนทีแห่งน้ำโขงไหลเข้าสู่แผ่นดินไทย ทำหน้าที่เป็นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว ที่ บ้านสบรวก หรือ สามเหลี่ยมทองคำ เขตอำเภอเชียงแสน ผู้คนที่มาเชียงแสนจึงมักรู้จักหรือให้ความสนใจสามเหลี่ยมทองคำเสียมากกว่า
ในตัวเมืองเชียงแสนจึงดูเงียบสงบ ไหลไปตามกระแสสังคมอย่างช้าๆ แม้น่าจะเติบโตได้ดีกว่านี้ในมุมท่องเที่ยว ด้วยศักยภาพของเมืองที่เป็นเมืองโบราณเก่าแก่ เคยเป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองที่สำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรล้านนา แต่ถ้าใครชอบเมืองที่เติบโตอย่างช้าๆ แสวงหาความเงียบสงบท่ามกลางบรรยากาศเก่าๆ วิถีผู้คนที่เป็นกันเอง เชียงแสนคือคำตอบหนึ่ง
มีชนไทยลื้อจากเมืองเชียงรุ้ง-สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน และบางส่วนจากเชียงตุง หรือเรียกว่าไทยใหญ่ ไทยเขิน ได้อพยพมาตามแม่น้ำโขงจนมาพบที่ราบฝั่งตะวันตกหรือฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งเหมาะแก่สร้างบ้านแปงเมืองยิ่งนัก นับแต่นั้นผู้คนต่างก็อยู่กันอย่างมีความสุขหลายชั่วอายุคน กลายเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง ก่อเกิดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเชียงแสน และสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ยุครุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่ง ตามพงศาวดารโยนก กล่าวถึงการสถาปนาเมืองเชียงแสน (1839-1860) ของพญาแสนภูว่า พญามังราย กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้ส่ง พญาแสนภู ผู้เป็นหลานมาควบคุมดูแลเมืองบริเวณที่ราบลุ่มน้ำกก แม่น้ำโขง และได้สถาปนาเมืองเชียงแสนขึ้นเพื่อใช้เป็นเมืองหน้าด่านป้องกันศึกทางเหนือและควบคุมเมืองในเขตล้านนาตอนบน ต่อมาเมืองเชียงแสนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง และพุทธศาสนาของล้านนา ก่อนถูกลดบทบาทลงไปเป็นเมืองอันดับ 2 รองจากเชียงใหม่ ในสมัยพญาผายู (พ.ศ. 1888-1910) แต่ในยุคนี้เองมีการทำนุบำรุงพุทธศาสนา มีการสร้างวัดอย่างมากมาย ดังปรากฏซากโบราณสถานวัดต่างๆ หลายสิบแห่งในตัวเมืองเชียงแสนที่เห็นในปัจจุบัน
ต่อมาตั้งแต่พ.ศ. 2101 เป็นต้นมา ล้านนาตกอยู่ใต้อำนาจของพม่า ซึ่งได้ยกเมืองเชียงแสนขึ้นเป็นมณฑลหนึ่งของพม่า ส่งผลให้เชียงแสนเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญ ตั้งแต่สมัยพญามังรายมีความรุ่งเรืองอย่างมาก
จนล่วงเข้าสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. 2347) พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยายมราช และพระยากาวิละ ยกทัพไปชิงเอาเมืองเชียงแสนคืนจากพม่าจนสำเร็จ ช่วงหนึ่งที่เชียงแสนเป็นเพียงกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง ขึ้นกับอำเภอแม่จัน ก่อนจะยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปีพ.ศ. 2500 จวบจนปัจจุบัน
ในบรรดาเมืองริมแม่โขงด้วยกัน เชียงแสนดูจะแตกต่างจากเมืองอื่นๆ คือ บริเวณโดยรอบเมืองปรากฏโบราณสถานเก่าแก่มากมาย ซึ่งยกให้เป็น เมืองโบราณริมแม่น้ำโขง ก็เห็นจะได้ นอกจากมีบรรยากาศของเมืองริมน้ำ ชาวเชียงแสนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สงบสุขท่ามกลางกลิ่นอายของร่องรอยประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองในอดีต ถนนทางหลวงหมายเลข 1016 เข้าสู่เชียงแสน ปรากฏกำแพง-คูเมืองเก่า เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้ว่าเรากำลังเข้าสู่ดินแดนประวัติศาสตร์เชียงแสน กำแพงและคูเมืองสร้างไว้ตั้งแต่สมัยพญาแสนภู ที่โปรดให้สร้างล้อมพระนครไว้ 3 ด้าน โดยอีกด้านทางทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำโขงเป็นปราการป้องกันทางธรรมชาติชั้นดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการรายล้อมเมืองถึง 8 จุด และมีประตูเมือง 5 แห่ง คือ ประตูยางเทิง ประตูหนองมูด ประตูทัพม่าน ประตูดินขอ และประตูป่าสัก ซึ่งประตูป่าสักนี้เชื่อมกับถนนสายแม่จัน-เชียงแสง (หมายเลข 1016) นี่เอง
ผ่านประตูเมืองและป้ายเมืองเชียงแสนเข้ามา จะเริ่มพบเห็นโบราณสถานที่เป็นวัดต่างๆ แม้ในจำนวนหลายวัดอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์หรือเป็นวัดร้าง แต่ก็ยังเป็นจุดน่าสนใจให้เข้าไปเยี่ยมชม ซึ่งได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากร โดยในจำนวนโบราณสถานที่เป็นวัดร้าง เช่น วัดมุมเมือง วัดพระบวช วัดอาทิต้นแก้วและวัดมหาธาตุ เป็นต้น ยังมีวัดที่น่าสนใจที่สุดวัดหนึ่งคือ วัดป่าสัก สร้างในสมัยพญาแสนภู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากเมืองปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย เมื่อสร้างเสร็จแล้วพญาแสนภูให้ปลูกต้นสัก 300 ต้นรอบอาราม จึงเป็นที่มาของชื่อวัดป่าสัก วัดนี้จุดเด่นอยู่ที่ลักษณะเจดีย์ 5 ยอด รูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจากหริภุญไชย ฐานเจดีย์เป็นซุ้มพระ 12 ซุ้ม รูปแบบฐานคล้ายกับองค์เจดีย์กู่กุดจังหวัดลำพูน ด้านศิลปกรรมมีลวดลายปูนปั้นวิจิตรงดงาม ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก พุกาม ขอม และสุโขทัย
ออกจากวัดป่าสัก ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับแนวคูกำแพงเมืองและบริเวณศาลเจ้าพ่อประตูป่าสัก ไปตามถนนเส้นเดิมเพื่อเข้ามายังใจกลางเมือง ปรากฏโบราณสถานอีกหลายแห่งอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนและสถานที่ราชการ ใจกลางเมืองนี้มีวัดเก่าแก่ที่ยังมีการประกอบกิจทางพุทธศาสนาและเป็นวัดสำคัญของชาวเชียงแสน คือ วัดเจดีย์หลวง สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1875 หลังจากที่พญาแสนภูสร้างเมืองเชียงแสนได้ 3 ปี...
เจดีย์หลวงเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในเชียงแสน มีรูปทรงระฆัง ภายในวิหารด้านหน้าเจดีย์ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย หรือ พระพุทธรูปเชียงแสน รอบๆ วัดสะอาดสะอ้านร่มรื่นด้วยแมกไม้ และมีอาคารเด็กกตัญญูรู้ศีล ศิลปินแห่งธรรม ซึ่งเกิดจากแนวคิดของพระครูวิจารณ์ธรรมสุนทร เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง พยายามดึงเด็กๆ ในชุมชน ให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ห่างออกจากเกมในคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งเสพติดและลดภาระให้ผู้ปกครอง โดยการเปิดเป็นศูนย์อบรมศีลธรรมและศิลปะ โดยการสร้างให้เด็กเป็นคนดี อดทนอดกลั้น รู้รับผิดชอบ และให้เด็กๆ เรียนรู้งานศิลปะ ขีดเขียนตามจินตนาการ
เมื่อเด็กวาดภาพลงในโปสการ์ด ทางศูนย์ก็จะจ่ายค่าตอบแทนใบละ 20 บาท คนหนึ่งกำหนดให้ไม่เกิน 2 ใบ ภาพที่ได้มาจะติดราคาขายใบละ 30 บาท กำไร 10 บาทนั้นก็จะสมทบทุนไว้เป็นค่าอาหารกลางวันเด็กที่มาเรียน ผมเชื่อเหลือเกินว่า ชุมชนเชียงแสนนี้จะมีทรัพยากรที่มีคุณภาพ สังคมอยู่อย่างพึ่งพาและปลอดภัย ร่วมบริจาค ดินสอสี และอุปกรณ์วาดรูป ให้เด็กๆ ส่งโดยตรงได้ที่ ศูนย์กลุ่มอารามเด็กกตัญญูรู้ศิล ศิลปินแห่งธรรม วัดเจดีย์หลวง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 57150
นอกจากตัวเมืองแล้ว ยังมีอีกเส้นทางขับรถเลาะเลียบขนานไปกับแม่น้ำโขง บรรยากาศเพลินตาเพลินใจได้ดีไม่น้อย หรือย้อนกับตามเส้นทางเดิมคือ ทางอำเภอแม่จัน เพื่อไปชม ทะเลสาบเชียงแสน (หนองบงคาย) หนองน้ำขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยสัตว์น้ำและนกนานาชนิด ตามตำนานเล่าว่า เคยเป็นเมืองนาคพันธุสิงหนวัติมาก่อน ต่อมาประสบภัยแผ่นดินไหว ตามตำนานกล่าวว่า เพราะประชาชนจับปลาไหลเผือกมากิน ทำให้เกิดอาเพศ เพราะปลาไหลเผือกตัวนั้นน่าจะเป็นบริวารของพญานาคผู้เฝ้ารักษาลำน้ำแห่งนี้ เมืองจึงล่มสลายกลายเป็นหนองน้ำ
มีโบราณสถานอยู่นอกเมือง 2 แห่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์มุมเมืองเชียงแสนและแม่น้ำโขงในมุมสูง โบราณสถานแรกคือ วัดพระธาตุจอมกิตติ และ วัดพระธาตุผา ที่สามารถมองเห็นสายลำน้ำโขงทอดยาวไกลสุดลูกลูกตา เห็นสามเหลี่ยมทองคำอยู่ไกลๆ ในกติกาของมนุษย์ ลำน้ำโขงกำลังทำหน้าที่แบ่งผืนแผ่นดินออกเป็นสามประเทศ หากในความเป็นสายน้ำบนโลกนี้ มันทำหน้าที่หล่อหลอมชีวิตสู่ชีวิตที่ประเมินค่ามิได้ ผู้คนรุ่นสู่รุ่น หลายร้อยล้านคนที่ได้ประโยชน์กับแม่น้ำสายนี้ และคนเชียงแสงก็ไม่ต่างกัน...แม่น้ำโขง คือชีวิต
เรื่อง/ภาพ อำนวยพร บุญจำรัส
www.oknation.net/blog/tava001