
สงฆ์สะอื้น ปัดปม พระนักช็อป ซื้อ คาร์เทียร์ เฉียด 2 แสน แค่ยืมรูปเพื่อนมาลง
รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สงฆ์สะอื้น แจงดราม่า พระนักช็อป ใช้ปัจจัยซื้อ คาร์เทียร์ เฉียด 2 แสน ยันไม่ใช่ของตัวเอง ทุกอย่างยืมเพื่อน
กรณี เพจ "อีซ้อขยี้ข่าว3" ได้แชร์โพสต์ของพระสงฆ์รูปหนึ่ง โดยระบุว่า เป็นพระเลขาวัดดังย่านใจกลางกรุง ที่โชว์ภาพลงโซเชียล การใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เช่น นั่งรถหรูไปหาหมอ, ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อดังราคาแพง 2 เครื่อง, นั่งฉันชาบูในร้านอาหาร , นั่งฉันชาเขียวปั่นร้านกาแฟชื่อดัง และโชว์การทำธุรกรรมผ่านธนาคารเป็นยอดเงินหลักหมื่นบาท พร้อมระบุแคปชั่น "เหงาจัง" และโพสต์ภาพใบเสร็จรูดบัตรซื้อกำไลเพชร ยี่ห้อหรู อย่าง คาร์เทียร์ (Cartier) ในมูลค่า 185,000 บาท
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขณะนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล ถึงประเด็นดราม่า ในการใช้ชีวิตของพระรูปนี้ พร้อมกับคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นต่างๆ มากมาย อาทิ พังหมด ศาสนา, ทำเป็นอาชีพ พวกนี้ควรมีบทลงโทษได้แล้ว, อยากเปลี่ยนอาชีพเลย, พวกเราจนกว่าพระอีก, คนจำพวกนี้ทำให้วัดจะเป็นสถานที่ไม่น่าเข้าไปกราบไหว้อีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่วัดดังกล่าวย่านบางแค ทางด้านผู้ช่วยเจ้าอาวาสของวัด ได้ทราบข่าวเมื่อเช้าและได้มีการเรียกพระคนดังกล่าว มาว่ากล่าวตักเตือนและบันทึกถ้อยคำ ทำทัณฑ์บนไว้หากมีพฤติกรรมแบบนี้อีกครั้งก็จะให้สึกออกจากการเป็น ภิกษุสงฆ์ ยืนยันว่าทางวัดไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยพฤติกรรมดังกล่าวของพระรูปนี้เป็นการทำเล่นมักจะชอบอวดเหมือนกับเด็กจึงทำให้เกิดการเข้าใจผิด ต้องขอโทษชาวพุทธทุกคนด้วย
ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ พระ สมพล อายุ 27 ปี บวช 8 พรรษาตั้งแต่แม่เสียตอนอายุ 18-19 ปี โดยในขณะที่พูดไปก็ร้องไห้ไปเพราะว่ารู้สึกเสียใจมากและข่าวที่ออกไปนั้นบางส่วนก็ไม่จริงเพราะตนไม่เคยบอกกับใครว่าเป็นเลขาของวัดตามที่ ปรากฏเป็นข่าวออกไป
พระ สมพล ได้เปิดเผยว่า ตนรู้สึกตกใจและเสียใจมากที่เป็นข่าวออกไปแบบนั้น ส่วนกรณีที่ตนนั่งฉันกาแฟร้านดังเพราะมีคนมาถวายและมือถือยี่ห้อแพง 2 เครื่องนั้น เป็นของเพื่อนขอยืมมาถ่ายรูป ซึ่งจริง ๆ แล้วตนใช้เพียงเครื่องเดียว
ส่วนเรื่องของกำไร Cartier ยี่ห้อแพงนั้นตนเพียงแต่แคปรูปภาพของเพื่อนมาลงโซเชียลซึ่งเรื่องทั้งหมดนั้นตนเพียงแต่โพสต์เล่นๆเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี ส่วนสลีปการโอนเงินตนก็เอาสลีปของเพื่อนมาแต่งภาพเปลี่ยนชื่อ
ทั้งนี้ตนอยากขอโทษชาวพุทธทุกคนที่ทำให้เสียชื่อ หลังจากนี้ตนจะไม่ทำอีก เป็นเพราะตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์



