รู้จัก 'ฮุน มาเนต' ก่อนเยือนไทย ไม่ธรรมดาคนกัมพูชาคนแรกจบ รร. ทหารเวสต์พอยต์

ตามที่มีรายงานว่า "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ก.พ. 2567 เพื่อพบกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือ ด้านความร่วมมือระหว่างสองประเทศ และความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างกัมพูชากับไทย 

โดยการมาเยือนไทยของ "ฮุน มาเนต" ในครั้งนี้นับว่าเป็นการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากที่ผ่านา ฮุน มาเนต เยือนไทย ครั้งแรก หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในช่วงเดือน ส.ค. 2566 

สำหรับ "ฮุน มาเนต" นับว่าเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลอีกหนึ่งคน โดย ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา เป็นทายานของ ฮุน เซน ผู้ผู้นำเผด็จการของกัมพูชาที่ปกครองประเทศยาวนานที่สุดในโลก ที่ผ่านมาได้ประกาศก้าวลงจากอำนาจ หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 38 ปี และพร้อมที่จะยกตำแหน่งผู้นำกัมพูชาให้แก่  "ฮุน มาเนต"  ผู้ที่เป็นลูกชายในวัน 45 ปี 
 

เส้นทางชีวิตของ "ฮุน มาเนต" ก่อนจะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ก็นับว่าเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดา โดย "ฮุน มาเนต" เกิดเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 1977 เป็นลูกชายคนโตของ ฮุน เซน โดยเขาใช้ชีวิตในกรุเพนมเปญ และเข้าร่วมเป็นทหารในปี 1995 หลังจากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ "ฮุน มาเนต" เป็นชาวกัมพชาคนแรกที่จบการศึกษาจากกองทัพบกสหรัฐ ที่เมืองเวสต์พอยต์ 

นอกจากนี้ "ฮุน มาเนต" ยังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบริสตอล จากประเทศอังกฤษ  

ไม่ใช่แค่ด้านการศึกษาเท่านั้นที่ "ฮุน มาเนต" โดดเด่นและแตกต่าง โดยเฉพาะเส้นทางในกองทัพของเขาที่ไม่ธรรมดา เพราะในระว่างที่อยู่ในกองทัพกำพูชา ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ผู้นำ ผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย ผู้บัญชาการทหารบกราชอาณาจักรกัมพูชา และรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเยาวชนของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) 

"ฮุน มาเนต" ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 หลังจากที่   รัฐสภากัมพูชาลงมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้ "ฮุน มาเนต" วัย 45 ปี ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่  หลังจากที่ขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ฮุน มาเนต ได้แถลงว่า "จะดูแลประชาชนให้มีทั้งความมั่นคงและมีเสถียรภาพ พร้อมกับจะพัฒนาระบบต่างๆ ของประเทศเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน ประชากลุ่มเปราะบาง และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน"