เด่นโซเชียล

อาลัย "น้องน้ำแข็ง" สู้ มะเร็ง หนูทำเต็มที่เเล้ว สุดเข้มเเข็งก่อนหมดลม

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หนูอยากเป็นนักวาดรูปมืออาชีพ ความฝัน "น้องน้ำเเข็ง" เด็กหญิงป่วย มะเร็ง กับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และการซ้อมเตรียมตัวตายเพื่อการจากไปอย่างหมดห่วง

"น้องน้ำเเข็ง" เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งตรวจเจอมะเร็งตอนอายุ 6 ปี เป็น "มะเร็ง" กระดูก Ewing Sarcoma โดยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 เเม่ "น้องน้ำเเข็ง" ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก พิมพ์ธิฌาย์ ฤทธาธนาเศรษฐา เล่าว่า "น้องน้ำเเข็ง"หายเเล้ว จากการเริ่มรักษาด้วยแผนปัจจุบัน ผ่านการให้เคมีบำบัด 12 คอร์ส (จริงๆ ตามแผนคือ 14 คอร์ส แต่หลังผ่าตัดแล้วไม่พบเซลล์มะเร็งแล้วคุณแม่เลยขอลดหมอได้ไป 2 คอร์สค่ะ) (คอร์ส ละ 2 วัน และ 5 วัน สลับกันเลขคู่ เลขคี่) การผ่าตัดหน้าท้อง 5 ครั้ง  การผ่าตัดที่ยาวนานที่สุด คือ 17 ชม. และการฉายแสง 31 แสง (**ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ยอมรับการฉายแสงเด็ดขาด)

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 ครอบครัวก็ต้องพบการข่าวเศร้าอีกครั้ง  เมื่อผล MRI  "น้องน้ำเเข็ง" พบสิ่งผิดสังเกตดูตรงเส้นเลือดใหญ่บริเวณช่องท้องว่ามันหนา ๆ และตรงปอดมีจุดอะไรบางอย่าง  ซึ่งน่าจะเป็นการกลับมาของโรค ต่อด้วยการยืนยันจากคุณหมอโรคเลือดเด็ก ซึ่งมีความเป็นไปได้เนื่องจากจบคีโมมาเป็นปีแล้ว และก้อนเนื้อร้ายเก่าติดเส้นเลือดดำใหญ่ทำให้ไม่สามารถเอาออกได้หมดตั้งแต่แรก ทำให้มันมีโอกาสกลับมา ใช่ค่ะน้องกลับมาเป็น "มะเร็ง" รอบสอง

 

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่าน เเม่ "น้องน้ำเเข็ง" ได้อัปเดตอาการของน้อง หลังจากก่อนหน้านี้ น้องมีอาการทรง ๆ ดีขึ้น สลับแย่ลงอยู่ 3 สัปดาห์ หลอกให้มีความหวังกันว่าคงหายในเร็ววัน บทจะอาการดิ่งภายใน 5 วันหลัง เกิดขึ้นไวมาก เเต่ความตั้งใจของครอบครัวว่าถ้า "มะเร็ง" กลับมารอบ 2 ถ้าฝืนไม่ได้ เป้าหมายบ้านนี้คือไม่ฝืน  จะไม่คีโม ผ่าตัด ฉายแสง อะไรอีก เพราะน้องก็เข็ดขยาดมาก ๆ จึงมีเป้าหมายตั้งรับไว้แล้ว ว่าขอแค่ให้น้องจากไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องทรมาน  และ "น้องน้ำแข็ง" ก็มีส่วนรวมในการตัดสินใจครั้งนี้
 

ในวันจันทร์ที่ 20 มิ.ย.นี้ จะมีพิธีเผาศพ "น้องน้ำแข็ง" ณ เมรุฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ ชลบุรี "น้องน้ำแข็ง" ไปด้วยใจที่เตรียมพร้อม  ระหว่างรอดูสถานการณ์ของร่างกายที่สร้างความเหนื่อย หายใจไม่ทัน ต้องนอนแบบนั่งมาหลายวัน หายใจแรงโยกทั้งไหล่ทั้งคอ และความปวดในบางจุด

 

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต "น้องน้ำแข็ง" น้องได้บอกพ่อแม่ว่า ห้ามให้ยามอร์ฟินแบบฉีดจนกว่าหนูจะรู้สึกไม่ไหวจริง ๆ  ถ้าพอไหว ขอแค่เป็นยาน้ำ กับแบบแผ่นแปะก่อน  หนูยังไม่ยอมใช้ฉีด  จนถึงจุดที่น้องคิดว่ายื้อไม่ไหวแล้วจริง ๆ ลิ้นเริ่มแข็ง พูดลำบาก กินได้แค่จิบน้ำ แต่ยังบอกกับม้าว่าหนูรู้สึกมีความสุข หลังจากบอกเสร็จประมาณ 4-5 ชม ความปวดจุดใหม่เริ่มมา

 

น้องปวดแบบต้องยกตัวขึ้นทั้ง ๆ ที่แทบไม่มีแรง จึงได้บอกพ่อแม่เอาถึงเวลาเอามอร์ฟินแบบฉีดแล้วถึงระงับความปวดอยู่ แล้วตัวน้องก็รู้ว่าการฉีดครั้งนี้คือการหลับยาว  แต่ไม่มีความหวั่นไหวใด ๆ น้องตั้งรับกับสิ่งที่ต้องเผชิญ โดยไม่มีน้ำตาใด ๆ  หลักจากฉีดไปได้ 15 นาที อาการปวดเริ่มสงบ แล้วหลับ อีก 30 นาทีถัดมาได้ตื่นมาพูดอะไรบ้างอย่างดี ๆ เป็นครั้งสุดท้าย (ป๊าหนูทำเต็มที่สูงสุดแล้ว หนูไม่เอาแล้ว หนูปล่อยแล้ว) แล้วหลับยาวจนครบ 7 ชั่วโมงจนหัวใจหยุดเต้น พ่อแม่ได้ทำหน้าที่ส่งน้องในวาระจิตสุดท้ายอย่างเต็มที่ตามหลักศาสนาพุทธ 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ซึ่งผ่านการสวดพระอภิธรรมฯ "น้องน้ำแข็ง" มาได้ 1 คืน ได้มีการลงภาพย้อนหลังวันรดน้ำศพ (วันพฤหัสบดีที่ 16 มิ.ย.65) เป็นภาพของ "น้องน้ำเเข็ง" ที่จากไปแบบสดใส หน้าตายิ้มแย้ม เเม่ "น้องน้ำแข็ง" ระบุด้วยว่า เป็นการจากไปที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้  สิ่งที่ทางครอบครัวและตัวน้องได้ทำก่อนน้องตายจริง  คือการซ้อมเตรียมตัวตายค่ะ  ซ้อมบ่อย ก่อนวันตายจริง 1 วัน ลิ้นยังไม่แข็ง ลิ้นยังพูดปกติ(แต่การหายใจของน้องก็เหนื่อยขึ้นมากแล้ว) 

 

แม่บอกน้องว่า " น้ำแข็ง ดูร่างกายนี้นะ  เห็นไหม เราสั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้  สั่งให้มันหายดีก็ไม่ได้  สั่งให้มันห้ามเจ็บห้ามปวดก็ไม่ได้ ร่างกายนี้เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงคราวที่ร่างกายนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ทิ้งมันไปนะลูก  ทิ้งมันไป มันเป็นตัวสร้างทุกข์  ไม่ต้องไปรั้งมันไว้ ตั้งจิตตั้งใจให้ตัวหนูมีอิสระจากร่างกายที่สร้างทุกข์เสียที "

 

น้ำแข็ง แซวแม่กลับว่า ม้าซ้อมตายแล้วถ้าเกิดไม่ตายอะ ไม่ซ้อมฟรีเหรอ ??


ม้าตอบ : ไม่ตายไม่เป็นไร  แต่ถ้าตายเราซ้อมตายเผื่อไว้แล้ว  จะได้ไม่ขาดทุน   (น้ำแข็งก็โอเค เข้าใจแต่โดยดี) ที่สำคัญหากร่างกายทรุดลงไปเรื่อย ๆ มาซ้อมตายตอนนั้น ม้ากลัวหนูจะเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง รีบซ้อมตายตอนที่ยังมีเรี่ยวแรง มีสติที่มากพอก่อนนะคะ  เพราะจิตสุดท้ายสำคัญ ยามหนูจะต้องจากไปม้าอยากให้หนูไม่ติดอะไร  ไปแบบจิตของผู้ที่เห็นธรรมะ เห็นความไม่ใช่ของเรา เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ ตั้งอยู่ชั่วคราว อย่าไปโศกเศร้ากับสิ่งที่ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้   ก่อนหน้าแม่ลูกเคยคุยว่าสมมุติถ้าหนูต้องตายหนูจะเสียใจอะไรบ้างไหม (แม่ของน้องมองว่าจำเป็นต้องคุยเพราะเห็นความสำคัญว่าคนเราก่อนจะไป จิตใจต้องหมดห่วงก่อน)

 

น้องตอบ อย่างที่ 1 หนูมีความฝันอยากเป็นนักวาดรูปมืออาชีพ  หนูยังไม่ได้ทำเลยเลยยังไม่อยากตาย

ม้าตอบ : เรื่องนี้จะอยู่หรือจะตายถ้าชอบวาดรูปอยู่ที่ไหนก็วาดได้  สำคัญที่หนูต้องไปดี ไปด้วยจิตดีอย่ามีห่วง  จบประเด็นเรื่องวาดรูปแบบเข้าใจดี 

 

เรื่องที่ 2 หนูไม่อยากตายหนูอยากอยู่กับป๊าม้า หนูมีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้าง และถ้าหนูไม่อยู่ตายไปม้าจะเสียใจมากไหม? หนูไม่อยากให้ม้าเสียใจ  และหนูอยากตอบแทนบุญคุณม้าที่ค่อยเหนื่อยดูแลหนูมาตลอด  ยามม้าแก่หนูอยากเป็นคนดูแลม้า  

 

ม้าตอบ : หนูไม่ต้องห่วงหากหนูไปดี  ไปด้วยจิตที่ปล่อยวาง  หากหนูจะมาหาม้าเมื่อไหร่ก็ได้ หนูไม่ต้องกังวล ม้ารู้หนูเก่ง  ม้าจะเข้มแข็งม้าจะเก็บความคิดถึงหนูเป็นแรงผลักดันให้ตัวม้าขยันเจริญสติ เพื่อพัฒนาจิตใจตัวเอง ให้มีดวงตาเห็นธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป และให้อานิสงฆ์นี้ถึงแก่ตัวหนู และม้าจะทำทุกวัน ม้าก็จะทำตัวม้าให้ดีพอที่วันหนึ่งเราจะได้ไปพบกัน   ส่วนยามม้าแก่ หนูไม่ต้องห่วงค่ะ ม้าเก่งม้าดูแลตัวเองได้  ม้าก็มีญาติพี่น้อง ม้ามีเงินเก็บ   ม้าเอาตัวรอดได้ หนูสบายใจได้เลยนะลูก ม้าหวังแค่หนูได้ไปอยู่ดีมีสุข......

 

แล้วหนูยังมีเรื่องอะไรอีกไหมที่ทำให้หนูไม่อยากตาย หากถึงเวลาต้องตาย ?  น้องตอบไม่มีแล้วค่ะ
จำคำม้าไว้นะ  ม้าดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วงม้าค่ะ  และวันนี้ม้าก็ทำได้จริงๆ ไม่ได้โกหกหนู เพราะหนูไปสบายแล้ว  หนูไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเจ็บแล้ว

ม้าควรต้องยินดีๆๆ เพราะความสุขของหนู คือความสุขของม้าค่ะ
รักหนูน้ำแข็งเหมือนเดิม

 

แม้ม้าจะไม่เห็นหนู  แต่ม้ากลับรู้สึกว่าหนูยังอยู่ข้าง ๆ ม้า  ปกติม้าจะป้อนข้าวหนู ทำอาหารให้หนูทุกวัน  ในการดูแลหนู  วันนี้ม้าก็ยังดูแลหนูเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจากการทำกับข้าวป้อนข้าว มาเป็นการนั่งสมาธิให้หนูแทน  และม้าจะดูแลหนูแบบนี้ทุกวันจนม้าตายค่ะ  เพื่อหวังว่าอานิสงส์แห่งการเจริญสติ เพื่อให้เห็นอริยสัจ 4 จะส่งผลโอบอุ้มดวงจิตของหนูในทุก ๆ วัน

 

**หน้าที่ ๆ ทำต่อมาคือ ค่อยดึงพ่อน้องน้ำแข็งให้ไม่โศกเศร้า  ต้องปรับความคิด  พร้อมบอกลูกไปดี เราควรยินดี  เรามีโอกาสทำหน้าที่พ่อแม่อย่างเต็มที่วินาทีสุดท้ายของลูก  การที่เราเศร้าเพราะคิดถึงลูก อันนี้เป็นเพราะความอยากของเรา คือเราอยากให้ลูกอยู่  อันนั้นเป็นปัญหาของตัวเรา ไม่ใช่ปัญหาของลูก  เพราะลูกไปสบายแล้ว  หากลูกมองมาเราเอาแต่โศกเศร้าแล้วพลังจิตที่โศกเศร้าของเราจะไม่ส่งถึงลูกเหรอ ดังนั้นรีบดึงสติให้ไว ว่าความโศกเศร้าก็เป็นของที่พร้อมจะมากระแทกเราอย่างหนักหน่วงในช่วงแรก  เราไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับความเศร้า มันมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์ ให้เศร้า 3 ปีเลยก็คืนคนตายกลับมาไม่ได้ แต่ควรรีบเจริญสติเห็นความเศร้าเป็นของชั่วคราว เกิดดับได้  เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นการพัฒนาจิตใจของเราแล้วให้อานิสงส์ถึงแก่ตัวลูก  ถึงเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่พยายามทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ให้ลูก

 

เรื่องราวของ "น้องน้ำแข็ง" มีชาวเน็ตที่คอยติดตามข่าวคราวด้วยความห่วงใย ที่คอยติดตามอาการของน้องมาสม่ำเสมอ หลังมีการเปิดเผยเรื่องราวของน้องผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งหลังทราบข่าวว่า "น้องน้ำเเข็ง" ได้จากไปอย่างสงบเเล้ว ได้เข้ามาให้กำลังใจครอบครัว และเเสดงความอาลัยต่อการจากไปของน้อง ซึ่งเรื่องราวของน้องที่ต้องสู้กับโรคร้าย "มะเร็ง" ถึง 2 ครั้งด้วยวัยที่ยังเป็นเด็กน้อย หลายคนนับถือความเข็มเเข็ง และใจที่สู้ของน้อง และขอเก็บเรื่องราวของ "น้องน้ำเเข็ง" เป็นเเรงผลักดันในชีวิตของตนเองต่อไป

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ