รู้จัก "แสนปิติ สิทธิพันธุ์" แสนดี ของ "ชัชชาติ" ที่ทำให้พ่อแกร่งในปฐพี

นับตั้งแต่ผลการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่ 17 ออกมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อของผู้ชายที่ได้รับฉายาว่า แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี "ชัชชาติ" สิทธิพันธุ์ ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียล สร้างปรากฎการณ์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอีกบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากพี่ชายฝาแฝด ฉันชาย สิทธิพันธุ์แล้ว ก็น่าจะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ที่ชื่อว่า "แสนปิติ สิทธิพันธุ์" หรือ แสนดี ที่ล่าสุด ผู้ว่าฯกทม.ของเรา ได้บินลัดฟ้าไปสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมงานรับปริญญาลูกชาย

แสนดี แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ปัจจุบันอายุ 22 ปี เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา แต่หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2544 ผู้ว่าฯชัชชาติ เคยเล่าให้ฟังว่า ในวัย 1 ขวบ 2 เดือน ต้องพาไปพบแพทย์ หลังญาติ ๆ ทักว่า ทำไมเรียกแล้วไม่ตอบสนอง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2001 จึงเรียกได้ว่า เป็นวันเปลี่ยนชีวิตของ ชัชชาติ เมื่อผลวินิจฉัยออกมาว่า ลูกชายคนเดียว หูหนวก จนเกิดความสับสนทำอะไรไม่ถูก ไปไหว้พระบนบานขอให้หาย เปิดเพลงให้ฟังหวังกระตุ้นให้ลูกได้ยิน แต่ลูกก็หูหนวกสนิท ต้องผ่าตัดประสาทหูเทียมเท่านั้น

เมื่อได้สติจึงได้หาข้อมูลต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจพา แสนดี ไปรักษาที่ออสเตรเลีย แต่ในขณะนั้น ผู้ว่าฯชัชชาติ ยังเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ทำให้ไม่สามารถลางานเป็นเวลานานได้ และจะลาออกก็ไม่ได้ เขาจึงเลือกสมัครสอบชิงทุนวิจัยที่ออสเตรเลียแทน เพื่อจะได้สามารถใช้ชีวิตในดินแดนดาวน์อันเตอร์ต่อ และจะได้เข้าร่วมโปรแกรมการฝึกออกเสียงพร้อมกับลูกชาย และจากความทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจ แสนดี จึงเป็นเด็กหูหนวกหนึ่งในไม่กี่คน ที่เรียนโรงเรียนเด็กปกติได้ และใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ตั้งแต่เข้ารับการรักษา จนถึงปัจจุบัน ก่อนเข้ารับปริญญา ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

แสนปิติ สิทธิพันธุ์ เคยให้สัมภาษณ์กับ Cochlear Southeast Asia ตั้งแต่ปี 2019 ถึง ชัชชาติ พ่อของเขาว่า คุณพ่อเหมือนเป็นเพื่อนสนิท ที่คอยอยู่เคียงข้าง สู้ไปกับเขาในทุกช่วงของชีวิต ไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าชีวิตจะยากลำบากมากแค่ไหน พ่อคือต้นแบบ และจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพราะพ่อสู้เพื่อเขามาตลอด

และเมื่อชัยชนะ 1.4 ล้านเสียง จากคนกรุงเทพฯ ที่เทให้ผู้เป็นพ่อ เมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์ thaienquirer พูดถึง รัฐประหาร ประชาธิปไตย และ พ่อของเขา ผู้ทำงานหนักเพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้น

“8 ปีมาแล้ว นับถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันจดจำมันได้อย่างดี” แสนปิติ ใช้ประโยคนี้ในการเริ่มต้นพูดถึงเหตุการณ์รัฐประหาร ปี 2549 ที่ยึดอำนาจรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งพ่อของเขา ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และว่า เหมือนกับคนไทยหลายล้านคน ที่เป็นประจักษ์พยาน ถึงเหตุการณ์ที่น่าสยอง บนจอโทรทัศน์ มันเป็นวันธรรมดาเหมือนกับวันอื่นๆ ผู้คนต่างออกมาใช้ชีวิตของพวกเขา แต่เบื้องหลังม่านความปกตินั้น ประชาชนถูกสั่นคลอนจากการประท้วงของ กปปส. ที่ต่อต้านรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไม่ใช่เรื่องราวอันปกติทั้งหมด

“รัฐบาลพังทลายลง เหมือนกับดอกไม้ร่วงโรย กลีบสุดท้ายถูกกองทัพดึงทำลาย ประชาธิปไตยถูกล้อมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง”

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมยกให้พ่อเป็นต้นแบบมาเสมอ เป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างให้กับการใช้ชีวิต พ่อสอนผมมากมายเกี่ยวกับความมุ่งมั่น การเห็นอกเห็นใจ และการไม่ตัดสินผู้อื่น พ่อย้ำเสมอว่าเราต้องทำงานกับทุกคนแม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ที่ผมเห็นพ่อทำงานในรัฐบาลมาจนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าไม่มีใครทำงานหนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ไปมากกว่าพ่ออีกแล้ว

เหนือสิ่งอื่นใด ที่สุดของชัยชนะครั้งนี้ คือความพยายามของคนไทย ที่ร่วมใจกันเคารพในหลักการของประชาธิปไตย ตามแบบฉบับโลกสมัยใหม่ มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้ คือข้อเท็จจริงที่ว่าคนกรุงเทพฯ หลายล้านคนได้เปิดเผยถึงเจตจำนงของตนเองอย่างชัดเจน นั่นคือพวกเขาต้องการเมืองที่น่าอยู่สำหรับประชาชน และเมืองที่พร้อมต้อนรับทุกคน

ชัยชนะครั้งนี้ อาจดูเหมือนเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ ในแผนการอันยิ่งใหญ่ แต่นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นโอกาสที่จะซ่อมแซมสะพานเพื่อเชื่อมพวกเราทุกคนเข้าถึงกัน เพื่อร่วมกันบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไทยให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม

“ผมหันมาออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ เพื่อจะได้อยู่กับลูกไปนานๆ เพราะตัวแสนดีเองก็ลำบากอยู่แล้ว ถ้าพ่อจะไปเป็นภาระให้เขาอีกคงไม่ไหว” นั่นเป็นคำพูดของพ่อ จึงนับได้ว่า แสนปิติ สิทธิพันธุ์ เป็นเบื้องหลังความแข็งแกร่งของ ผู้ว่าฯกทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ขอบคุณข้อมูลบางส่วน  และภาพจาก hellomagazine