เด่นโซเชียล

"พ่อเลี้ยงเดี่ยว" กุมขมับ "ลูกวัยรุ่น" ขอทิ้งเรียนเพราะ อยากเป็นนักร้อง

25 พ.ค. 2565

"พ่อเลี้ยงเดี่ยว" ถามชาวเน็ต คำว่าอย่าเพ้อฝัน เเรงไปไหม เมื่อ "ลูกวัยรุ่น" ขอทิ้งเรียนเพราะ อยากเป็นนักร้อง

เรื่องของความฝัน ที่คนเป็นลูก และพ่อเเม่ที่มีลูกวัยรุ่น ต้องอ่าน เมื่อคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวกำลังคิดหนักเกี่ยวกับเส้นทางความฝันของลูกชาย เนื่องจากเพื่อตามความฝันนี้ลูกชายของเขาถึงกับจะยอมทิ้งอนาคตทางการศึกษา

 
คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวคนนี้ ได้ตั้งกระทู้ไว้ว่า "ลูกชายจะไม่เรียนต่อ ป.ตรี บอกอยากเป็นนักร้องดัง มีชื่อเสียง ผมบอกอย่าเพ้อฝัน แรงไปไหมครับ"  

 

เขาเล่าว่า ลูกชายคนโตกำลังจะถึงเวลาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จึงได้มีการพูดคุยเพื่อให้คำปรึกษา แนะนำเรื่องอนาคต ว่าอยากจะเป็นอะไร ทำอาชีพอะไร ฝั่งลูกชายบอกกับตัวเขาและปู่กับย่าซึ่งคอยเป็นกำลังสำคัญช่วยเลี้ยงดูว่า เขามีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผลงานเพลงฮิต 
 

ซึ่งผู้เป็นพ่อยอมรับว่า ไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่ลูกบอกว่าอยากเป็นนักร้องและไม่คิดจะเรียนต่อ เพราะกลัวว่าจะไม่มั่นคงและดูจะเป็นเรื่องเพ้อฝันจนเกินไป เนื่องจากคนจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จึงอยากให้เขาตั้งใจเรียนเพื่อเรียนจบไปได้ทำงานดี ๆ ทำงานที่มั่นคง เพราะพ่อเลี้ยงเดี่ยวรายนี้ทำงานประจำมาเกือบทั้งชีวิต อีกทั้งยังตกงานอยู่บ้านมาเกือบ 2 ปีแล้ว 

 

แต่ลูกบอกว่าจะไม่เรียนต่อ ไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย จะไปเรียนแต่งเพลง เรียนดนตรี ฝึกฝนการร้องเพลง และจะทำผลงาน ทำเพลงออกมาลงใน YouTube โดยมีความเชื่อว่าเขาจะต้องประสบความสำเร็จ 

เเม้จะมีความเป็นห่วงเรื่องความมั่นคง แต่คุณพ่อรายนี้ ก็ยอมรับว่า ลูกชายคนโตของเขาเป็นเด็กเสียงดีมาก ๆ คนหนึ่ง และเล่นดนตรีได้ดี มีวงดนตรีที่ทำกับเพื่อน 

 

เเต่เมื่อลูกชายยืนยันคำเดิมว่าจะไม่เรียนต่อ จะทำตามความฝัน ทำให้ผู้เป็นพ่ออย่างเขาถึงกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า อย่าเพ้อฝันจนเกินไป เข้าใจว่ามีความฝันแต่บางครั้งก็ควรอยู่กับความจริงบ้าง ควรตั้งใจเรียนก่อนอันดับแรก การเรียนจะทำให้ลูกมีงานที่ดีทำ ชีวิตจะได้ไม่ลำบาก เพียงเพื่ออยากให้ลูกชายเรียนจบ มีหน้าที่การงานประจำทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เพราะเป็นห่วงอนาคตของลูก 

 

เเต่จากบทสนทนาที่เกิดขึ้น กลับทำให้สุดท้ายลูกชายของเขาโกรธผู้เป็นพ่อ 

คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวจึงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาพูดออกไปกับลูกชายนั้น เป็นคำพูดที่แรงไปไหม ในความคิดของคนที่ได้อ่านเรื่องนี้เเเล้ว

 

เมื่อเรื่องราวของพ่อเลี้ยงเดี่ยว ที่มีลูกวัยรุ่นที่ต้องเลือกเส้นทางเพื่อวางอนาคตในวางข้างหน้าถูกโพสต์ออก ก็ได้รับคำเเนะนำดี ๆ และน่าจะไปปรับใช้ได้กับหลายๆ ครอบครัว ที่มีลูกในวัยนี้ และอาจกำลังประสบปัญหาแบบเดียวกัน 

อย่างเช่น ความคิดเห็นนี้ 

 

"บอกเค้าว่าพบกันครึ่งทาง​ แล้วไปเรียนดุริยางคศิลป์ ครับ อย่างน้อย​ ถ้าความฝันไม่สำเร๊จ​ ชีวิตยังมีเส้นทางไปต่อได้ครับ" 


"ถ้าเราเป็นคุณ  ส่งเขาไปประกวดร้องเพลงตามรายการทีวีเลยค่ะ เขาจะได้รู้ว่าที่ตัวเอง "เก่ง" "แน่" นั้น เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เก่งจริงไหม , ความจริงมันควบคู่กับการเรียนได้ เรียนมหาวิทยาลัยไปคัดเลือกเป็นนักร้องนำวงดนตรีมหาวิทยาลัยก็ได้ ,  ที่สุด  หากเขายืนยัน ก็ปล่อยเขาเถิดค่ะ ให้เวลาเขาค้นหาตัวเองสักปีสองปีค่อยกลับไปเรียนก็ไม่สาย"


"เวลาคุณตื้อตันทางความคิดน่ะ ให้ลองคิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก เราเองก็เคยผ่านความคิดแบบสุดโต่ง ความดื้อมากันแล้วทั้งนั้น คำพูดอะไรที่คุณไม่อยากได้ยินจากพ่อแม่ในตอนเด็ก คุณอย่าทำแบบนั้นกับลูก

และอย่าไปคาดหวังอะไรกับตัวเขา เพราะลูกไม่ได้เกิดมาทดแทนความผิดพลาดของพ่อแม่ เขามีความคิดของตัวเอง ความฝันของเขาเอง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปตามโลกให้ทัน อย่าทำร้ายความรู้สึกลูกด้วยคำนั้น

ชี้แนะแนวทางให้เขาโดยไม่ทำลายความฝันของเขาไปด้วยทำไม่ได้เหรอคุณเป็นพ่อคนแล้ว ถามเขาซิ เขาสามารถเรียนไปด้วยทำตามความฝันไปด้วยได้ไหม เรียนในสายดนตรีทำให้มีความรู้เฉพาะทาง เขาอาจเจอครูที่เก่งมาชี้แนะแนวทางให้เขาตามฝันได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า คุณต้องเป็นเพื่อนลูกสิ เพื่อนคู่คิด

ว่าง ๆ คุณลองไปหาอ่านบทความของพ่อแม่ศิลปิน หรือพ่อแม่ที่มีลูกประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพที่คุณว่ามันเพ้อฝันในความรู้สึกคุณลองดูซิ ดูว่าเขามีทัศนคติอย่างไร มีความกล้าหาญแค่ไหนที่จะส่งเสริมให้ลูกได้ทำในสิ่งที่เขาฝันไว้จนประสบความสำเร็จ"


"ฝันได้แหละ แต่มันยาก คงต้องให้หาเส้นทางสำรองไว้ด้วย และคนในวงการส่วนใหญ่ยังจบ ป.ตรี กันเลย

อาชีพนักร้องมันมีช่วงเวลาของมัน ถึงดังเปรี้ยงก็ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า นักร้องนักแสดงส่วนใหญ่เขาก็ขวนขวายหาความรู้เอาเงินมาทำธุรกิจต่อกันทั้งนั้น"


"ให้ลูกลงเรียน มสธ. ค่ะ ไม่ต้องเข้าเรียน ให้เค้ารับผิดชอบตัวเอง อ่านหนังสือหลังซ้อมดนตรี มีคณะให้เลือกเยอะแยะ ค่าลงทะเบียนถูก สอบตกมีสอบซ่อม เรียนจบได้ใบปริญญา มีศักดิ์ศรีเท่าคนเรียนปริญญาตรีทั่วไปค่ะ"


"จากใจคุณพ่อที่ก็มีลูกวัยรุ่น ที่เคยจะออกเทป(สมัยนั้นเรียกออกเทป) อยู่ในวงดนตรีที่เดินร่อนเดโม่กับค่ายเพลง ออกคอนเสิร์ตใต้ดินมาก่อน และได้ร่วมงานกับค่ายเพลงจริง ๆ แต่อัลบั้มนั้นไม่ถูกผลิตออกมา (แต่เพลงถูกนำไปดัดแปลงใช้กับศิลปินอื่น) สมาชิกในวงยังคงเป็นนักแต่งเพลงในวงการ และไปทำงานประจำอื่นๆ(วิศวกร สถาปนิก) รวมถึงมีเพื่อนสนิทเป็นมือกีตาร์ห้องอัดมาก่อน เพื่อนร่วมสถาบันกับร็อคสตาร์อันดับหนึ่งของไทยและเล่นกลางคืนร่วมกับนักร้องดังๆหลายคน เจ้าตัวจริงๆจบกฎหมาย สอบอัยการได้ แต่ชอบเล่นกีตาร์มาก ตอนนี้เป็นลุงเลี้ยงแมวเล่นกีตาร์ให้แมวฟังอยู่บ้านปลูกต้นไม้ใบหลายแฉกไปวัน ๆ

พ่อแม่ผมสนับสนุนให้ผมเล่นดนตรีและดันให้เข้าไปใกล้ ๆ กับวงการพวกนี้เท่าที่ทำได้  ทางบ้านย้ำเสมอว่าต้องเรียนหนังสือ ซึ่งเมื่อเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ไปเรียนดนตรีต่อต่างประเทศจริงจังไปทางนั้นเลยทางบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับเพลงและดนตรีแล้ว แต่ใช้ความรู้ทางด้านนั้นแหละมาผสมกันจนเป็นอาชีพในปัจจุบัน

เข้าใจความคิดวัยรุ่นครับ แต่ ถ้ามโนโดยไม่รู้จริงก็เป็นได้แค่ไม้หลักปักข้างทางให้คนดูถูกเท่านั้นแหละ
แล้วมันต้องคิดหน่อยครับว่า จะเอาอะไรกิน...กว่าจะดัง!!
ตอบและวางแผนตรงนี้ไม่ได้ แถวบ้านเรียก ลมๆแล้งๆ

สรุปว่า ผมพูดแรงกว่าคุณพ่อ จขกท เสียอีก ฮ่าาาาา"

คลิกอ่านกระทู้เต็ม