เด่นโซเชียล

"กระเป๋าแบรนด์เนม" ราคาครึ่งล้านไม่จบ ชาวเน็ตขยี้ตามหาสรพงษ์สนั่นโซเชียล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ดราม่า "กระเป๋าแบรนด์เนม" ราคาครึ่งล้านยังคุกรุ่น หลังชาวเน็ตตามขยี้ต่อถามหาความรับผิดชอบจากแม่ค้าหลังผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าเป็นของจริง

ดูเหมือนดราม่าจะยังไม่จบง่าย ๆ สำหรับกรณีแม่ค้าร้านรับซื้อ-ขาย "กระเป๋าแบรนด์เนม" รับซื้อ กระเป๋า Hermès Constance 24 ราคามือหนึ่งอยู่ท่ประมาณ 5 แสนบาท แต่ทางร้านรับซื้อกับบอกว่าเป็นของปลอมพร้อมทั้งใช้ปากกาเขียนบนกระเป๋าว่า "ปลอม" จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต และเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมจับตามอง ล่าสุด เพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 2 โพสต์คลิปเสียงของแม้ค้ารับซื้อกระเป๋าหรู โดยระบุว่า 

 

"คุณ สรพงษ์ ความจริงคือ คุณจะไม่คืนกระเป๋า พอเพจได้เสนอเรื่องราวจนเป็นข่าว คุณ สรพงษ์ ก็ ดิ้นไปต่างๆนานา เรื่องแรกเริ่มทุกอย่างผู้เสียหายเก็บหลักฐานทุกอย่างครบ คุณสรพงษ์อย่าลืมสัจจะนะ ถถถ "

 

"กระเป๋าแบรนด์เนม" ราคาครึ่งล้านไม่จบ ชาวเน็ตขยี้ตามหาสรพงษ์สนั่นโซเชียล

อย่างไรก็ตามในช่วงแรกที่เกิดดราม่า ร้านดังกล่าวได้โพสต์รูปภาพ "กระเป๋าแบรนด์เนม" พร้อมระบุข้อความว่า "รอผลตรวจอยู่นะคะ เดี๋ยวถ้าผลออกมาแล้วเป็นของแท้ ยินดีรับไว้ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ" หลังส่งกระเป๋าไปตรวจสอบ รอการยืนยัน ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าของร้านยังบอกด้วยว่าถ้าเป็นของจริงก็จะให้เลย 2 ล้าน แถมจะเลิกเป็นกะเทยด้วย และเปลี่ยนชื่อเป็นสรพงษ์ด้วย 

 

ล่าสุดหลังโดยวานนี้ทางสถาบัน The Catch fake Brandname ซึ่งเป็นสถาบันสอนดู "กระเป๋าแบรนด์เนม" ที่แรกของประเทศไทย และได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ เปิดเป็นสถาบันสอนดูกระเป๋าแบรนด์เนมที่แรกของประเทศไทย ซึ่งทราบว่าขณะนี้กระเป๋าใบที่เป็นปัญหาถูกส่งมาตรวจสอบที่นี่ การตรวจสอบในเบื้องต้นนั้น พบว่ากระเป๋าในดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและรับรองว่าเป็น ของจริง แต่ยังต้องรอการตรวจสอบยืนยันจากต่างประเทศด้วย  

หลังจากที่มีข่าวออกมา "กระเป๋าแบรนด์เนม" ใบดังกล่าวเป็นของจริงเจ้าของร้านรับซื้อกระเป๋ายังไม่หยุด และชี้แจงอย่างต่อเนื่องว่าได้โอนเงินค่ากระเป๋าไปให้เจ้าของเรียบร้อยแล้วในราคา 395,000 บาท แต่เรื่องยังไม่จบงานนี้ชาวเน็ตขยี้ต่อถามหาความรับผิดชอบจากเจ้าของร้านตามที่เธอเคยกล่าวเอาไว้ว่า 

"หากของจริงก็จะให้เลย 2 ล้าน แถมจะเลิกเป็นกะเทยด้วย และเปลี่ยนชื่อเป็นสรพงษ์"

 

อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวอาจจะต้องรอการสรุปจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่างานนี้ใครจะผิดจะถูก ซึ่งหากขั้นตอนการสืบสวนจบแล้วก็คงต้องว่ากันไปตามกฎหมาย 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ