เด่นโซเชียล

"หมอธีระ" ชี้แนวโน้มสูงระบาดหนัก จับตายุโรปยอดติดเชื้อ-ตายพุ่ง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"หมอธีระ" ชี้แนวโน้มสูงระบาดหนัก จับตายุโรปยอดติดเชื้อ-ตายกลับมาพุ่ง แม้จะมีจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนไปมากแล้ว พร้อมแนะประชาชนเรียกร้องเข้าถึงหลักฐานวิชาการของวัคซีนสูตรไขว้ ประกอบการตัดสินใจก่อนฉีด

ศ.นพ. ธีระ วรธนารัตน์ หรือ "หมอธีระ" คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ถึงสถานการณ์ "โควิดวันนี้" 6 พฤศจิกายน 2564 ระบุว่า เมื่อวานทั่วโลกติดเชื้อเพิ่ม 481,135 คน ตายเพิ่ม 7,254 คน รวมแล้วติดไปรวม 249,801,453 คน เสียชีวิตรวม 5,052,249 คน

 

ขณะที่ 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ อเมริกา รัสเซีย เยอรมัน สหราชอาณาจักร และตุรกี 

 

 

โดย "หมอธีระ" เผยต่อว่า จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 94.72 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 91.38 

 

สำหรับสถานการณ์ไทยเรา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 8,148 คน สูงเป็นอันดับ 17 ของโลก หากรวม ATK อีก 3,848 คน จะขยับเป็นอันดับ 9 ของโลก และไม่ว่าจะเป็นแค่ยอดที่รายงานทางการ หรือจะรวม ATK ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง 

 

ยิ่งอันดับโลกและจำนวน ระหว่างยอดที่รายงานเป็นทางการ กับยอดที่รวม ATK ห่างกันมากขึ้นเท่าใด ยิ่งทำให้เราต้องตระหนักว่า สถานการณ์จริงนั้นมีโอกาสที่จะแตกต่างจากตัวเลขที่รายงานเป็นทางการ 

 

ระลอกปลายปี... ทวีปยุโรปตอนนี้ ยอดติดเชื้อใหม่เมื่อวานคิดเป็น 59.1% ของทั้งโลก และยอดตายเมื่อวานคิดเป็น 51.39% ของทั้งโลก แม้ว่าจะมีจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนไปมากแล้ว แนวโน้มจะเป็นศูนย์กลางการระบาดของโลกตามที่ องค์การอนามัยโลก ได้ออกมาเตือน 

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากปีก่อน เพราะมีการเดินทางระหว่างประเทศกันมากขึ้น ทั้งท่องเที่ยว ติดต่อพบปะธุรกิจ ทำมาค้าขายระหว่างกัน โอกาสระบาดเร็วและกระจายจึงมีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศต่าง ๆ ที่เคยได้วัคซีนมาก่อนเป็นเวลานานและยังไม่ได้เข็มกระตุ้นอย่างครอบคลุมเพียงพอ หรือในกลุ่มประเทศที่มีการใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพไม่ดีพอหรือมีวัคซีนไม่เพียงพอ ดังนั้นทุกประเทศจึงต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบคอบ 

 

 

"หมอธีระ" ยังแนะข้อควรพิจารณาเรื่องนโยบายวัคซีนด้วยว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน มาตรา 55 ได้ระบุไว้วรรคหนึ่งว่า "รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง" ประโยคข้างต้นมีความหมายยิ่งนัก เพราะระบุถึงเรื่องประสิทธิภาพและความทั่วถึง 

 

จึงอยากหยิบยกมาให้พิจารณาเรื่องนโยบายวัคซีนให้ถ้วนถี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสูตรต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับประชาชน รวมถึงระยะเวลาในการฉีด จำเป็นจะต้องมีข้อมูลเชิงประจักษ์มาแสดงให้สังคมได้รับทราบและตรวจสอบได้ 

 

โดยหลักการแพทย์สากลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยาหรือวัคซีนใด จะต้องผ่านขั้นตอนการพิสูจน์ทั้งเรื่องความปลอดภัย ประสิทธิผลในการป้องกันโรค ลดป่วย ลดโอกาสเสียชีวิต ซึ่งขั้นตอนเหล่านั้นเป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดมาในระดับนานาชาติ ต้องผ่านการวิจัยทางคลินิกระยะ 1, 2, และ 3 จนแน่ใจ แล้วจึงทำการขึ้นทะเบียนเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่สาธารณะ และต้องมีการติดตามผลการใช้เพื่อดูประสิทธิภาพจริงที่เกิดขึ้นตามผลลัพธ์สำคัญที่กล่าวมาข้างต้น 

 

ดังนั้น ประเทศพัฒนาแล้วจึงอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ในการตัดสินใจเลือกใช้วัคซีนแก่ประชาชน โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิผลจากการวิจัยที่ได้มาตรฐานเป็นหลัก 

 

สูตรไขว้ที่มีการใช้ในยุโรปนั้นคือ ChAdOx1 viral vector vaccine เข็มแรก และเปลี่ยนเป็น mRNA vaccine ในเข็มสองนั้นก็มีเหตุผลของการตัดสินใจไขว้จากเรื่องการหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จาก viral vector vaccine เพื่อปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของพลเมืองของเค้า นอกจากนี้ยังได้มีการศึกษาติดตามประเมินทั้งเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพอย่างชัดเจนในเวลาต่อมา จนเป็นที่ยอมรับ 

 

การได้รับวัคซีนสูตรใด ๆ นั้น จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ หากมีการเปิดประเทศเพื่อให้มีการเดินทางพบปะติดต่อกัน จะเห็นนโยบายของประเทศอื่น ๆ ที่มีข้อกำหนด ระบุถึงชนิดของวัคซีนที่สากลยอมรับ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อเรื่องย่างก้าวในอนาคตสำหรับประชาชนแต่ละคนในเรื่องการฉีดวัคซีนในระยะยาวว่าจะใช้ชนิดใด ด้วยเหตุผลใด ต้องระวังเรื่องผลข้างเคียงหรือไม่ ทั้งนี้ถ้าได้รับแบบที่แปลกแหวกแนว การตัดสินใจในอนาคตนั้นย่อมยากที่จะมีข้อมูลมาสนับสนุน หรือมีโอกาสผิดพลาดหรือเกิดปัญหาตามมาได้ เป็นต้น 

 

ประชาชนควรเรียกร้องให้สามารถเข้าถึงหลักฐานวิชาการทั้งหมดที่ใช้ตัดสินใจนโยบาย เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเรา ถือเป็นสิทธิของพลเมืองที่พึงได้รับ 

 

อย่างไรก็ตาม สำคัญที่สุดคือ การป้องกันตนเองอย่างเป็นกิจวัตร เพราะการระบาดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ใส่หน้ากากอนามัยสำคัญมาก และอยู่ห่างคนอื่นเกิน 1 เมตร จะช่วยลดอัตราติดเชื้อลงได้ 5 เท่า 

 

ที่มา Thira Woratanarat

 

 

logoline