ย้อนรอย งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่มีมาอย่างยาวนาน และสิ่งที่อยู่คู่กันมาโดยตลอดคือ "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" ก่อนปิดฉากดราม่า สยบความไม่เท่าเทียม
หากพูดถึง หนึ่งในกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความสนใจจากคนไทยมากที่สุดงานหนึ่ง น่าจะเป็น งานฟุตบอลประเพณีระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเริ่มจัดขึ้นครั้งแรก วันที่ 4 ธันวาคม 2477 โดยทั้ง 2 มหาวิทยาลัย จะผลัดกันเป็นเจ้าภาพสลับกันไปในแต่ละปี รวมทั้ง สิ่งที่มีคู่กับงานฟุตบอลประเพณีตลอดมา ก็คือ "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" ซึ่งจะเป็นผู้อัญเชิญสัญลักษณ์สูงสุดของมหาวิทยาลัย
แต่ทว่า เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2564 คณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ยกเลิกกิจกรรมคัดเลือก "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เนื่องจากเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าว เป็นกิจกรรมที่ล้าหลัง อันขัดต่อคุณค่าสากลอย่างประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และสิทธิมนุษยชน จากมติในวาระการประชุมสามัญครั้งที่ 1/2564 ของคณะกรรมการบริหารฯ จึงมีมติ 29 : 0 เสียง เห็นควรให้มีการยกเลิกกิจกรรม การคัดเลือก "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" ในงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ เพื่อยุติการผลิตซ้ำธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม มิให้คงอยู่ในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป "คมชัดลึกออนไลน์" จึงจะพาไปย้อนรอย และทำความรู้จักกับประเพณี "การอัญเชิญพระเกี้ยว" ที่กลายมาเป็นดราม่า จนถึงปัจจุบัน
สำหรับประวัติ "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" ข้อมูลจากเว็บไซต์หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การอัญเชิญพระเกี้ยวที่เก่าแก่ที่สุด จากหนังสือพิมพ์สยามนิกร (พิเศษ) ฉบับวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2507 มีผู้อัญเชิญเป็นนิสิตหญิงเพียงคนเดียว และองค์พระเกี้ยวมีขนาดเล็กกว่าองค์พระเกี้ยวจำลองที่ใช้ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในสมัยก่อน จำนวนผู้อัญเชิญพระเกี้ยว มีตั้งแต่เป็นนิสิตผู้หญิงคนเดียว นิสิต 2 คน นิสิตหญิง-ชาย 2 คู่ มาจนถึงในปัจจุบัน ที่เป็นนิสิตหญิง-ชาย เพียงคู่เดียว บางปีคัดเลือกจากตัวแทนของคณะ ในบางปีมีการคัดเลือกจาก "นางนพมาศ" ซึ่งในสมัยก่อนเรียกว่า "ดาวจุฬาฯ"
การคัดเลือกผู้อัญเชิญนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ที่จะเป็นเครื่องยืนยันเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ และคุณสมบัติโดยละเอียด แต่ที่แน่ ๆ คือ ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติแห่งความเป็นจุฬาฯ อยู่ในตัวเอง ผู้ทำงานทุกคนคิดว่า นอกจากการรักษาประเพณีที่เคยมีมาแต่เดิมแล้ว การอัญเชิญพระเกี้ยวที่ถือว่าเป็นของสูง คือเป็นตราประจำพระองค์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ควรมีผู้อัญเชิญออกมา มากกว่าที่จะให้ออกมา โดยไม่มีใครอัญเชิญ และได้มีการกำหนดหลักการ และเหตุผลเกี่ยวกับผู้อัญเชิญพระเกี้ยวไว้ดังนี้
"ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวเป็นตัวแทนของนิสิตจุฬาฯ ที่จะอัญเชิญสัญลักษณ์สูงสุดของมหาวิทยาลัย ในงานฟุตบอลประเพณีฯ ดังนั้น จึงควรมีความเป็นนิสิตจุฬาฯ อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือควรจะเป็นผู้มีความพร้อมในแง่วิชาการและบุคลิกภาพ เพราะนอกจากหน้าที่ในการอัญเชิญพระเกี้ยวในวันงานแล้วยังต้องเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ที่จะประชาสัมพันธ์งานฟุตบอลประเพณี และแสดงถึงภาพลักษณ์ของนิสิตจุฬาฯ ที่ดีสู่สังคม"
จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ทำให้ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวเปลี่ยนมาเป็นนิสิตชาย 1 คน และ นิสิตหญิง 1 คน เพื่อให้ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว เป็นตัวแทนของนิสิตจุฬาฯ อย่างแท้จริง เนื่องจากนิสิตจุฬาฯ ประกอบด้วยนิสิตหญิงและนิสิตชาย และอีกเหตุผลหนึ่งคือ เพื่อเปลี่ยนมุมมองของบุคคลภายนอก ที่มักจะคิดว่า ผู้หญิงเชิญพระเกี้ยวเป็นผู้ที่ "สวย" ที่สุดของจุฬาฯ เท่านั้น แต่ที่แท้จริงแล้ว ผู้อัญเชิญฯ ต้องเป็นผู้ที่มีความเป็นจุฬาฯ มากที่สุด
ตามมติที่ประชุมฝ่ายขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว และที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานกิจการนิสต (ที่ประชุมอาจารย์) ได้กำหนดคุณสมบัติไว้ดังนี้
- เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 เพศชาย 1 คน เพศหญิง 1 คน
- เกรดเฉลี่ยสะสม 2.5 ขึ้นไป
- มีบุคลิกภาพดี
- เคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทั้งของคณะและของมหาวิทยาลัย
- มีความประพฤติดีสมกับเป็นตัวแทนของนิสิตจุฬาฯ
จากนั้น ก็ถึงขบวนการที่สำคัญที่สุด คือการสัมภาษณ์ โดยคณะกรรมการเพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด ประกอบด้วย
- คณาจารย์ฝ่ายกิจการนิสิต
- หัวหน้านิสิตทั้ง 16 คณะ
- ตัวแทนนิสิตจากส่วนกลาง (ทีมงานฟุตบอลประเพณีฯ)
คำถามส่วนใหญ่ จะวัดปฏิภาณ ไหวพริบของผู้สมัครแต่ละคน ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็จะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยว
การคัดเลือกเป็น "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" ได้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่เป็นประจำทุกปี ถือว่าเข้มข้นมาก เพราะจะต้องผ่านทั้ง 5 กิจกรรมในการคัดเลือก ดังนี้
- กิจกรรมแรกพบ
- กิจกรรมสอบข้อเขียน
- กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์
- กิจกรรมสัมภาษณ์กลุ่ม
- กิจกรรมสัมภาษณ์เดี่ยว
ทั้งนี้ มีผู้ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยว อาทิ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ทรงเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 62
นอกจากนี้ ยังมีหลายคนที่เป็นคนดังในแวดวงต่าง ๆ อาทิ จิระนันท์ พิตรปรีชา จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งที่ 32, แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวงานฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งที่ 55, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวงานฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งที่ 66, ฟาง-ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งที่ 68
แต่สุดท้ายแล้ว ดราม่าในรั้วจามจุรี ถูกจุดประเด็นมาจากการคัดเลือก "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" มีความไม่โปร่งใส แม้ว่าจะมี 5 กิจกรรมให้เข้าร่วมเพื่อประเมิน แต่หากการคัดเลือกตัวแทนในงานฟุตบอลประเพณี ยังคงสร้างปัญหาที่เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม การไม่ต้องมี "ผู้อัญเชิญพระเกี้ยว" จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ที่มา : หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง