เด่นโซเชียล

"ยิ่งใช้ยิ่งได้" ปรับเพิ่มวงเงินช้อป 10,000 ต่อคน เช็ค "แอปเป๋าตัง" ได้เลย

19 ต.ค. 2564

ครม. ไฟเขียว ปรับวงเงิน “ยิ่งใช้ยิ่งได้” จากเดิมไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนต่อวัน เป็นไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน นำมาคำนวณสิทธิรับ e-Voucher

ครม. ไฟเขียว ปรับวงเงิน “ยิ่งใช้ยิ่งได้” จากเดิมไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนต่อวัน เป็นไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน นำมาคำนวณสิทธิรับ e-Voucher

 

 

วันนี้ 19 ตุลาคม 2564 ที่นำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ว่า "มติครม." อนุมัติงบประมาณ 54,506 ล้านบาท สำหรับมาตรการลดค่าของชีพของรัฐ 4 โครงการ ประกอบด้วย

 

 

1.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" เฟส 3 (บัตรคนจน) ระยะที่ 3 โดยได้มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือซื้อสินค้าอีก 200 บาท เพิ่มเติมอีก 300 บาทในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม 

 

 

ดังนั้นจากเดิมที่ได้ 200 บาทเป็นระยะเวลา 6 เดือน ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนกับธันวาคม2564 โดยรวมประชาชนจะได้ 500 บาทต่อคนเป็นระยะเวลา2 เดือน กลุ่มเป้าหมายที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่ 13.6 ล้านคน วงเงินงบประมาณ 8,122 ล้านบาท

2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มเปราะบาง) โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ 200 บาทต่อเดือนระยะเวลา 6 เดือน และได้มีการเพิ่มในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมอีก 300 บาท ดังนั้นในสองเดือนดังกล่าวนี้ผู้ถือบัตรจะได้รับ 500 บาท 

 

 

โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง เข้าไม่ถึงระบบอินเตอร์เน็ตผู้สูงอายุผู้พิการจำนวน 2.3 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณ 1,384 ล้านบาท 

 

 

3. โครงการ "คนละครึ่ง เฟส3" เดิมรัฐบาลอนุมัติให้คนละ 3000 บาท วันนี้อนุมัติเพิ่มอีก 1,500 บาทรวมเป็นเงิน 4,500 บาท โดยใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2564 หรือจนกว่าจะใช้สิทธิ์เต็มงบประมาณทั้งสิ้น 42,000 ล้านบาท 

4. โครงการ "ยิ่งใช้ยิ่งได้" เดิมวงเงินที่ใช้คำนวณ E-Voucher 60,000 บาท Voucher ได้ไม่เกินคนละ 7,000 บาท ตอนนี้คณะรัฐมนตรีได้ปรับวงเงินที่คำนวณ E-Voucher เป็น 80,000 บาท Voucher ต่อคนรวมไม่เกิน 10,000 บาท ในกรอบวงเงิน 3,000 ล้านบาท

 

เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ หลักเกณฑ์สำหรับประชาชน

 

  • เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน

 

  • มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน

 

  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

 

  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผ่านบัตรประชาชน)

 

  • ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส3

 

  • ประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงสิทธิได้ 1 ครั้ง และจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงการได้อีก

 

  • ก่อนการใช้สิทธิครั้งแรก ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน

 

  • การซื้อ-ขายสินค้าและ/หรือบริการ ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องมีการทำธุรกรรมซื้อขายและสแกน QR Code เพื่อชำระสินค้าและ/หรือบริการกันแบบพบหน้า (face-to-face) โดยไม่มีการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผ่านคนกลาง ไม่ว่าด้วยวิธีใด

 

  • แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” จะสามารถใช้งานได้ ระหว่างเวลา 6.00 – 23.00 น. ของทุกวัน

 

  • ห้ามผู้เข้าร่วมโครงการฯ กระทำการใด ๆ ที่สร้างความเข้าใจผิดต่อมาตรการและ/หรือโครงการของรัฐ หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการฯ หรือมาตรการ/โครงการใด ๆ ของรัฐ

 

  • กรณีการซื้อ-ขายอาหาร และ/หรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform)

 

  • การใช้สิทธิตามโครงการฯ ผ่านระบบของผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) (ผู้ให้บริการ Food Delivery Platform) จะต้องเป็นการซื้อขายสินค้าเฉพาะประเภทอาหารและ/หรือเครื่องดื่มโดยประชาชนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เท่านั้น

 

  • รัฐจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหารและ/หรือเครื่องดื่มเท่านั้น โดยไม่รวมถึงค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น

 

  • ประชาชนสามารถใช้สิทธิตามโครงการฯ เพื่อสั่งอาหารและ/หรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ได้ตั้งแต่เวลา 6.00-20.00 น. ของทุกวัน

 

  • ห้ามมีการรับหรือเรียกจะรับการทอนเป็นเงินสดหรือประโยชน์รูปแบบอื่นใดจากการสั่งอาหารและ/หรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ไม่ว่ากรณีใด

 

  • การซื้อขายอาหารและ/เครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการ Food Delivery Platform จะต้องเป็นการซื้อขายกันจริง โดยประชาชนผู้สั่งและร้านค้าผู้ขายไม่ได้อยู่ ณ สถานที่เดียวกัน และประชาชนผู้สั่งและร้านค้าผู้ขายไม่ใช่บุลคลเดียวกัน

 

 

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ คลิก