เด่นโซเชียล

รักษาตัวเองด้วยชีวิตและสติปัญญาตามพระราชปณิธาน "ในหลวงรัชกาลที่ 9"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ดร.สุเมธ ขอคนไทยร่วมกันรักษาดินน้ำ ลม ไฟ รักษาตัวเองด้วยชีวิตและสติปัญญา หลอมรวมพลังความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ตามพระราชปณิธาน "ในหลวงรัชกาลที่ 9"

บนเส้นทาง 35 ปี แห่งการถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้ถ่ายทอดเรื่องราวว่าตลอดรัชกาล 70 ปี พระองค์ทรงสอนเรื่องความดี ประหนึ่งแสงประทีปที่นำทางชีวิต ทรงพร่ำสอนเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่เสมอ ถ้าเราไม่รักษาแผ่นดิน ไม่รักษาชาติบ้านเมือง ไม่รักษาปัจจัยแห่งชีวิต ชีวิตก็คงจะอยู่ไม่ได้ พร้อมทางรอดของชีวิตกับ 4,700 โครงการพระราชดำริ    ที่เปรียบเสมือนเป็นบทเรียนที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือ การบริหารความเสี่ยงของบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอย่างรุนแรง การใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มอล เว้นระยะห่างนั้น พระองค์ท่านทรงเตือนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2541

 

ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี พระองค์ท่านสอนเรื่องการครองแผ่นดิน ด้วยความรักความเมตตาที่มีต่อพสกนิกร พระองค์ทรงคิดค้นการบริหารน้ำ การบริหารยอดเขาและป่าไม้ และการบริหารท้องฟ้า

 

โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้สรุปงานของพระองค์ได้ว่า จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที อย่างที่ทุกคนเรียกว่า "ศาสตร์พระราชา" งานชิ้นแรกของพระองค์ท่านเริ่มจากท้องฟ้า เรามองเห็นเป็นเพียงเมฆ แต่พระองค์ท่านเห็นเป็นสายน้ำ เป็นต้นกำเนิดของโครงการฝนหลวง หลักการทำงานที่จำได้ขึ้นใจ คือ การดูแลป่าต้นน้ำ 3 ส่วนตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพราะป่าไม้เปรียบเสมือนเป็นทรัพย์สมบัติทางธรรมชาติและเป็นสายใยแห่งชีวิตของเราทั้งสิ้น พระองค์ท่านได้สอนวิธีการแก้ปัญหาไว้ให้เราหมดแล้ว รวมไปถึงปรัชญาชีวิตที่พระองค์ทรงสอนไว้ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง 

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่แค่การปลูกข้าวหรือขุดร่องผัก แต่แท้ที่จริงแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักปรัชญาและความคิดด้วยหลักธรรม 3 ประการ คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เราต้องรู้จักประมาณตน ประเมินศักยภาพตัวเองเสียก่อนเพราะทุกคนมีต้นทุนไม่เหมือนกัน จะทำสิ่งใดนั้นต้องคำนึงต้นทุนที่มีอยู่ในตัว อย่างทุนของประเทศไทยคือ อู่ข้าวอู่น้ำ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราพูดกันมากว่า 900 ปีแล้ว จึงสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาที่ถูกวิธี ดั่งพระองค์ท่านทรงใช้เหตุผลในการนำทาง ต่อเนื่องด้วยการใช้สติปัญญา อย่าใช้อารมณ์และความอยากในการเดินตามผู้อื่น ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือ การบริหารความเสี่ยงของบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะเกิดสภาพแบบนี้ทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอย่างรุนแรง การใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มอล เว้นระยะห่าง ความเสี่ยงแบบ distancing 

พระองค์ท่านทรงเตือนไว้เมื่อปี พ.ศ. 2541 ให้ระวังการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นดังเช่นปัจจุบัน พร้อมที่จะเผชิญหากมีภูมิคุ้มกันที่ดี ทางเลือก 3 ทางที่จะชนะความเปลี่ยนแปลงได้คือ ประการที่ 1) เราจะสู้กับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หากจะสู้เราต้องเปลี่ยนจากตัวเราก่อน ให้เป็นผู้นำก้าวกระโดดทางนวัตกรรม ประการที่ 2) แก้ไขเป็นวัน ๆ แบบเสมอตัว และประการที่ 3) หนีความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Disruption นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสอนว่าอย่ามองข้ามปัญหาที่กำลังเผชิญ พร้อมรับมือกับปัญหา ไม่ต้องรอการพึ่งพาจากผู้อื่น หากเรารอคอยความช่วยเหลือ ชีวิตเราจะแขวนอยู่กับความไม่แน่นอน

ซึ่งพระองค์ท่านทรงหลักการทำงานด้วยธรรมะ 3 ข้อ คือ ความรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง โดยเราต้องรอบรู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ต้องมีความฉลาด เพราะความโลภจะทำให้เกิดความพินาศ อย่าคดโกง ตั้งมั่นบนความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักแบ่งปันผู้อื่น เพราะถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ ตัวเราก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน  สุดท้ายสังคมและประเทศชาติจะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางด้วย 3 คำ คือ มั่นคง สมดุล และยั่งยืน

 

 

ดร.สุเมธ ให้แง่คิดแก่ผู้เข้าอบรมในโครงการอบรมวิทยากรส่งเสริมคุณธรรม Sustainability c Moral “ตามรอยพระราชา” ว่าคุณธรรมไม่ใช่สิ่งที่ปรุงแต่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคในการถ่ายทอด แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากภายใน จากการเห็นคุณค่าและการลงมือทำ จนเกิดผลเป็นรูปธรรม และสื่อสารจากประสบการณ์ตรง ต้องยอมรับกันว่า คุณธรรมเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมากในสังคมไทย และเป็นรากฐานที่สำคัญและมั่นคงสำหรับประโยชน์สุขของทุกคนในสังคม เปรียบเสมือนเสาเข็มที่มองไม่เห็น แต่ยิ่งวางเสาเข็มให้แข็งแรงมั่นคงเท่าไร ย่อมสามารถต่อเติมอาคารบ้านเรือนให้สวยงามแข็งแรงตลอดไป

ติดตามข้อมูลได้ทาง Facebook: ตามรอยพระราชา The King’s Journey

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ