เด่นโซเชียล

ทนายเจมส์ ซัด อดีต "ผู้กำกับโจ้" อ้างป่วย ไบโพลาร์ ฟังไม่ขึ้น

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทนายเจมส์ ซัด อดีต "ผู้กำกับโจ้" อ้างป่วย "ไบโพลาร์" ฟังไม่ขึ้น ชี้ สติสัมปชัญญะ ครบถ้วน รู้ผิดชอบชั่วดี ทุกประการ

หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลว่า อดีต "ผู้กำกับโจ้" ผู้ต้องหาในคดีร่วมกับพวก ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาในคดียาเสพติดจนเสียชีวิต เคยรักษาอาการป่วย "ไบโพลาร์" ล่าสุด นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า ผู้ต้องหาในคดีถุงดำคลุมหัว ป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์ คำถาม คือ ผู้ต้องหาจะรอดพ้นคดีนี้ได้หรือไม่ หลักกฎหมาย ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 65 ผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น วรรคสอง แต่ถ้าผู้กระทำความผิด ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

 

จากหลักกฏหมายข้างต้น ผู้ที่ไม่ต้องรับโทษในการกระทำความผิดทางอาญา จะต้องกระทำความผิด ในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจาก มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือ จิตฟั่นเฟือน การที่ผู้ต้องหาพูดคุยตอบโต้ได้ตามปกติ ให้สัมภาษณ์สื่อได้ เช่น อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายมูลเหตุจูงใจ ที่ใช้ถุงคลุมหัวผู้ตาย เพื่อเค้นข้อมูล เพื่อปราบปรามยาเสพติด ปกป้องประชาชนให้พ้นยาเสพติด และยังยอมรับผิดคนเดียว ลูกน้องเพียงทำตามคำสั่ง ตลอดจนสามารถติดต่อพูดคุยกับผู้บังคับบัญชา เพื่อขอเข้ามอบตัวได้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ต้องหาสามารถรู้ผิดชอบ และยังสามารถบังคับตนเองได้เป็นปกติ พูดจาโต้ตอบ มีสติปกติ ส่วนตัวเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาจะอ้างว่า มีจิตบกพร่อง หรือ ป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์ เพื่อไม่ต้องรับโทษนั้น ฟังไม่ขึ้น  
 

ทนายเจมส์ ซัด อดีต "ผู้กำกับโจ้" อ้างป่วย ไบโพลาร์ ฟังไม่ขึ้น

 

เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2559 ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊ก เพราะมีอาการบกพร่องทางจิตหรือไม่ เห็นว่า เดิมผู้ถูกกล่าวหาถูกดำเนินคดีเป็นจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้คดี โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
มีอาการบกพร่องทางจิต ทั้งพฤติการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหา ลงข้อความในเฟซบุ๊กต่อเนื่องหลายคราว ก็ไม่ปรากฏว่า มีความผิดปกติทางจิต จนไม่อาจรับรู้การกระทำของตน หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เมื่อถึงวันที่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้สื่อสารพูดคุยโต้ตอบได้เป็นปกติ ข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหาว่า เป็นโรคไบโพล่าร์ มีอาการผิดปกติทางจิต จึงรับฟังไม่ได้ข้อความที่ผู้ถูกกล่าวหาลงแสดงในเฟซบุ๊ก มีข้อความที่ไม่เป็นความจริง กล่าวหาว่าศาลดำเนินคดีไม่เป็นธรรม และไปถ่ายรูปในบริเวณศาล นำมาลงประกอบข้อความเท็จของตนในเฟซบุ๊กว่า ศาลเรียกเงิน และมีข้อความลงข่มขู่ศาลว่า จะยิงทำร้าย ขอให้ผู้พิพากษาระวังตัว อันเป็นข้อความที่ประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาล และเป็นการรายงานกระบวนพิจารณาแห่งคดี อย่างไม่ถูกต้อง และเป็นเท็จ แม้ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊ก โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้ถูกกล่าวหา แต่เมื่อข้อความส่วนหนึ่ง เกิดจากการถ่ายรูปบุคคลในบริเวณศาล เพื่อนำไปประกอบข้อความเท็จ ที่ตนใช้แสดงต่อสาธารณชน ย่อมถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีความผิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 31 (1)

 

นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงข้อความเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในศาล แสดงความเท็จว่าตนถูกศาลกลั่นแกล้ง เป็นความผิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 32 (2) ด้วย อันเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างเจตนา และต่างบทกฎหมาย ชอบที่จะลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ทั้งสองกรรม

 

คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ได้ความรู้อยู่ 2 ส่วน คือ 

1. การที่จะอ้างว่า มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือนนั้น จะต้องถึงขั้นที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบชั่วดีได้ หรือไม่สามารถบังคับตัวเองได้ หรือ พูดจาไม่รู้เรื่อง 

2. การถ่ายภาพในบริเวณศาล และนำไปโพสใน Facebook ประกอบข้อความข่มขู่ผู้พิพากษาให้ระวังตัว ก็ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลได้ และ หากเป็นข้อความเท็จ หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ก็จะเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหาก ถือเป็นการกระทำความผิด ต่างกรรมต่างวาระ ต่างเจตนา ต่างบทกฎหมาย 

 

ทนายเจมส์ ซัด อดีต "ผู้กำกับโจ้" อ้างป่วย ไบโพลาร์ ฟังไม่ขึ้น

 

ทนายเจมส์ ซัด อดีต "ผู้กำกับโจ้" อ้างป่วย ไบโพลาร์ ฟังไม่ขึ้น

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ