
ยื่น 4 ข้อเรียกร้องดูแล"คนท้อง" พ้น"โควิด-19" ยอด"ฉีดวัคซีน" ไม่ถึง 3 %
เครือข่ายภาคประชาชน บุกสธ. ยื่น 4 ข้อเรียกร้องดูแล"คนท้อง"ให้พ้น"โควิด-19" หลังพบเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้ออัตราเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติ แต่ยอด"ฉีดวัคซีน"ไม่ถึง 3 % ซ้ำรพ.ไม่รับทำคลอด วอนกำชับ รพ.ดูแลรอบด้าน ตั้งแต่อยู่ในท้อง-คลอด-รักษา
เครือข่ายภาคประชาชน นำโดยนางสาวศรีไพร นนทรีย์ แกนนำกลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตและใกล้เคียง นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กว่า10 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ผ่านทางนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้มีมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19
นางสาวศรีไพร นนทรีย์ แกนนำกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ที่น่าเป็นห่วงคือหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ไม่มีการแยกออกจากพื้นที่เสี่ยง ยังต้องเจอกับคนจำนวนมาก ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยต้องติดโควิด-19 และประสบปัญหาถูกรพ.ปฏิเสธการทำคลอด โดยระบุว่ารพ.ไม่มีความพร้อมทำคลอดกรณีที่มีการติดโควิดด้วย บางรายที่ติดโควิดทำคลอดที่รพ.เอกชนก็ถูกเรียกเก็บเงินกว่า150,000บาท นับเป็นการซ้ำเติมแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด–19 อย่างมาก
นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า เครือข่ายฯ มีข้อเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
- ขอให้กำกับดูแลโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์ ไม่ควรปฏิเสธการทำคลอด-รักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19 หากเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลจะดูแลรักษาได้ ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแล ประสานต่อ ไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยและครอบครัวไปหาสถานพยาบาลเอง และควรเร่งประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตัว การดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกต้องให้กว้างขวาง
- เร่งฉีดวัคซีนให้หญิงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปให้ครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากพบว่าปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนไม่ถึง 3% ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตในหญิงตั้งครรภ์สูงถึง 2.5%
- กรณีหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19เสียชีวิต หรือลูกเสียชีวิต หรือเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก โรงพยาบาลต้องจัดให้นักสังคมสังเคราะห์ประเมิน และวิเคราะห์รายกรณี เพื่อประสานการช่วยเหลือ เยียวยาสภาพจิตใจครอบครัว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น
- กระทรวงสาธารณสุขต้องเชื่อมต่อกับโรงงานต่างๆ ให้บริษัทฯ ตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับคนงานต่อเนื่องเพื่อแยกผู้ติดเชื้อฯ ออกมารักษาตามระบบป้องกันการแพร่กระจายสู่ผู้อื่น สนับสนุนให้แต่ละสถานประกอบการมีFactory isolation ที่มีมาตรฐาน โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลในการดูแลผู้ติดเชื้อ มีระบบการประสานส่งต่อคนงานที่มีอาการเริ่มรุนแรง รวมถึงเชื่อมโยงการทำ Home isolation ที่ถูกต้อง