ไลฟ์สไตล์

โรคงูสวัด (Herpes zoster)

โรคงูสวัด (Herpes zoster)

12 ม.ค. 2559

ดูแลสุขภาพ : โรคงูสวัด (Herpes zoster)

 
                      โรคงูสวัด เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “เชื้อวีแซดวี (Varicella-Zoster virus)” โดยเป็นการติดเชื้อ “ซ้ำ” ในผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือเคยได้รับเชื้อไวรัสโรคอีสุกอีใสแต่อาการไม่ชัดเจน ซึ่งหลังจากหายจากโรคอีสุกอีใสไปแล้วเชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทรากบนของไขสันหลัง (dorsal root ganglion) และแฝงตัวอย่างสงบโดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
 
 
 
โรคงูสวัดมีอาการอย่างไร
 
 
                      ก่อนมีผื่นขึ้น 1-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปลบๆ บริเวณเส้นประสาทที่จะเป็นงูสวัด อาจมีอาการคันและแสบร้อน เป็นพักๆ หรือตลอดเวลาจากนั้นจะมีผื่นขึ้นตรงบริเวณที่ปวดแล้วกลายเป็นตุ่มใสเรียงตามแนวผิวหนังที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทที่อักเสบ บริเวณที่พบบ่อย คือแนวข้างลำตัวตั้งแต่บริเวณราวนม ชายโครง และบั้นเอว (จากสะดือถึงกลางหลัง) บางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า แขนหรือขาก็ได้แต่จะมีลักษณะการขึ้นเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น เช่น ซีกขวาหรือไม่ก็ซีกซ้ายตุ่มน้ำมักทยอยขึ้นใน 4 วันแรก แล้วค่อยๆ แห้งตกสะเก็ดใน 7-10 วัน เมื่อตกสะเก็ดและหลุดออกไป อาการปวดจะทุเลาลง รวมแล้วจะมีผื่นอยู่นาน 10-15 วัน ผู้ที่มีอายุมากอาจมีอาการนานเป็นเดือนกว่าจะหายเป็นปกติบางรายอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ท้องเดินร่วมด้วย
 
 
 
โรคงูสวัดต้องระวังภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง
 
 
                      ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคืออาการปวดประสาทหลังเป็นงูสวัด (postherpetic neuralgia) โดยพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ยิ่งอายุมากยิ่งเป็นรุนแรงและนานผู้ป่วยจะมีอาการปวดเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่แรก หรือเกิดขึ้นภายหลังผื่นหายหมดแล้วก็ได้ มีลักษณะปวด ลึกๆ แบบปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลาหรือปวดแบบแปลบๆ เสียวๆ เป็นพักๆ ก็ได้มักปวดเวลาถูกสัมผัสเพียงเบาๆ ปวดมากตอนกลางคืนหรือเวลาอากาศเปลี่ยนแปลงอาการปวดมักหายได้เองแต่บางรายอาจปวดนานเป็นปี และจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาบรรเทาอาการปวดปลายประสาท
 
 
 
ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้
 
 
                      - ในรายที่เป็นงูสวัดขึ้นตา (Zoster ophthalmicus) อาจทำให้เกิดกระจกตาอักเสบแผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ ต้อหิน ประสาทตาอักเสบ ถึงขั้นทำให้สายตาพิการได้หากไม่ได้รับการรักษา
 
                      - ในรายที่เป็นงูสวัดที่บริเวณหูด้านนอกหรือแก้วหู อาจทำให้เกิดอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกหรือมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน ตากระตุกได้
 
                      - ผู้หญิงที่เป็นงูสวัดขณะตั้งครรภ์อาจแพร่เชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้ โดยความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกเกิดความผิดปกติระหว่างอยู่ในครรภ์นั้น ขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่ โรคประจำตัวของมารดา อายุครรภ์ และความรุนแรงของโรคงูสวัด ดังนั้นในหญิงตั้งครรภ์ หากเป็นโรคงูสวัด ควรรีบพบแพทย์ทันที ส่วนผู้หญิงที่วางแผนจะมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์
 
 
 
การรักษา โรคงูสวัด ต้องทำอย่างไร
 
 
                      1.การรักษาด้วยยาต้านไวรัสแพทย์จะประเมินความรุนแรงของโรคงูสวัด และเลือกวิธีการให้ยาต้านไวรัสที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นตา จักษุแพทย์ จะประเมินความรุนแรง และให้การรักษาที่เหมาะสมทันที เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนและพิการทางสายตา การได้รับยาต้านไวรัสภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังเกิดอาการจะช่วยลดความรุนแรง ทำให้อาการหายเร็วขึ้นและลดอาการปวดเส้นประสาทแทรกซ้อนในภายหลังได้
 
                      2.การรักษาตามอาการ แพทย์จะให้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาบรรเทาอาการปวด ยาลดไข้ยาทาผื่นหรือแผล ทำความสะอาดแผล และป้องกันการเกิดแผลติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
 
 
 
การดูแลตนเองเมื่อพบว่าเป็นงูสวัดควรปฏิบัติดังนี้
 
 
                      - ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เนื่องจากการได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว จะช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
 
                      - ถ้ามีไข้หรือปวด ควรรับประทานยาลดไข้ บรรเทาปวด
 
                      - ตัดเล็บให้สั้น ห้ามแกะเกาผื่นตุ่ม
 
                      - ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่
 
                      - ควรปิดแผลให้สะอาด ระวังการเกิดแผลถลอก
 
                      - รับประทานอาหารสุก สะอาด ได้ตามปกติ
 
                      - พักผ่อนให้เพียงพอ
 
 
                      การป้องกัน โรคงูสวัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Zoster vaccine) โดยฉีดวัคซีนเข้าใต้ผิวหนังจำนวน 1 เข็ม ซึ่งในปัจจุบันแนะนำให้ฉีดในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัดได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ส่วนในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50-59 ปี หากเคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใส หรือโรคงูสวัดมาก่อน หรือเคยตรวจเลือดพบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อวีแซดวีโดยธรรมชาติแล้ว สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดนี้เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อไวรัสวีแซดวีโดยตรงชนิดเชื้อเป็น (live vaccine) มีข้อจำกัดห้ามฉีดในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องดังนั้นผู้ที่จะรับการฉีดวัคซีนควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
 
 
 
พญ.ร่มเย็น ศักดิ์ทองจีน
 
อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ
 
โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์