บันเทิง

'ฌอห์ณ จินดาโชติ' เล่านาที รับบทแพทย์ฉุกเฉิน เห็นทั้งเลือด จับทั้งมีด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดใจ "ฌอห์ณ จินดาโชติ" พระเอกซีรีส์ Emergency Couple จาก True CJ Creations ที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตของคนสองคน ที่แม้ว่ารักกันมากแค่ไหน แต่ด้วยความแตกต่าง ก็ทำให้ต้องเลิกรากันไป แต่แล้วโชคชะตา ก็ทำให้ทั้งสองต้องมาเจอกันอีกครั้ง

โดย "ฌอห์ณ จินดาโชติ" พระเอกของเรื่อง เผยกับ "คมชัดลึก" ถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่า "เป็นเรื่องของคู่รักคู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องความรักของนักเรียนแพทย์ เหมือนเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นเรื่องของการตัดสินใจแต่งงานรวดเร็วด้วยวัย 20 กว่าๆ พอได้มาใช้ชีวิตจริงด้วยกันแล้ว เจอเรื่องของครอบครัวเขาครอบครัวเรา มันทำให้ต่อกันยาก ไหนจะต้องประคองความฝันของการเป็นแพทย์ ไหนจะต้องประคองชีวิตคู่ มันเลยทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น เลยทำให้ความบาดหมาง จบกันไม่ดีเท่าไหร่ 

 

แล้วก็ชะตาฟ้าลิขิต อีก 10 ปีกลับมาเจอกัน ในบทบาทที่ต่างไป คนนึงก็กำลังจะเป็นแพทย์อินเทิร์น อีกคนก็จะมาเป็นแพทย์อินเทิร์นเหมือนกัน แต่เผอิญไม่ชอบหน้ากัน แล้วต้องมาอยู่วอร์ดเดียวกัน แล้วต้องมาจับคู่กัน มันก็เลยเกิดเรื่องราวขึ้นมา 

 

เราก็จะรู้สึกว่าเธอนี่นะจะมาเป็นหมอ เพราะตอนที่เราเรียนหมอเขาดูไม่ได้มาทางนี้ แต่เขาพยายามต่อสู้ ตั้งใจ มันก็เลยเกิดเป็นความชื่นชมปนความหมั่นไส้ มันก็เลยเป็นความน่าสนใจ คนเราตอนที่คบกันช่วงมหาลัย มันก็จะอีกความรู้สึกหนึ่ง แล้วจากคนที่เคยคบหากัน แล้วต้องเป็นเพื่อนร่วมงาน มันก็จะอีกความรู้สึกหนึ่ง แล้วพอมีความรู้สึกที่จะกลับมารีเทิร์นกัน มันก็จะเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง มันก็เลยมี 3 จังหวะของความรู้สึก"

ฌอห์ณ จินดาโชติ
 

ยากไหมที่จะต้องถ่ายทอดอารมณ์ออกมา ?
ต้องทำความเข้าใจเยอะ ปกติเส้นเรื่องละคร คือเริ่มจากการไม่รู้จักกัน ไม่ชอบหน้ากัน แล้วก็ดำเนินผ่านเวลาไป เจอเรื่องราวต่างๆทำให้คนหลงรักกัน แต่อันนี้มันเริ่มมาจากความผูกพัน แน่นแฟ้น และการแตกหัก และเป็นความห่างเหิน มันเล่าจากหน้า แล้วตอนเริ่มถ่ายทำก็เริ่มถ่ายจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ซึ่งตัวเรากับน้องบัวเพิ่งเจอกันครั้งแรก มันเลยต้องเริ่มซิงค์กันให้เร็ว ว่าคิดเห็นอย่างไร จะแสดงแบบไหน จะรู้สึกต่อกันแบบไหน และก็ต้องเริ่มเป็นความบาดหมาง ที่มีความรู้สึกดีต่อกัน การไล่เลียงความรู้สึกก็เลยต้องชัดนิดหนึ่ง ซึ่งตรงนี้มีความยากนิดนึง โชคดีที่เราได้พาร์ทเนอร์ที่ดีอย่างน้องบัว และก็ทีมงานทุกคน 

 

ทำงานกับ "บัว นลินทิพย์" ครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง?
ส่วนตัวชื่นชอบและชื่นชม น้องบัวเป็นคนพลังงานบวก อยู่ positive ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่เขาเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่ทุกวัน มีความสุขง่าย ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆมีความสุขไปด้วย และความตั้งใจทำงานของเขาทำให้ทุกอย่างมันเสถียร เรารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีนิสัยผู้ชาย มีนิสัยตั้งใจ ทำให้เรากระตือรือร้นไปด้วยกัน ถ้าใครได้ร่วมงานกับเขาก็จะรู้สึกแบบนั้น

ฌอห์ณ จินดาโชติ

แล้วเวลาที่ต้องเข้าฉากไม่ถูกกันเป็นยังไงบ้าง?
ลำบากใจเหมือนกัน เพราะการทะเลาะกันไม่ได้ทะเลาะกันแบบพ่อแง่แม่งอน มันอาจจะมีบ้าง แต่มันทะเลาะจริงจัง เธอเป็นอย่างนี้ไงฉันเลยไม่เอา เธอเป็นอย่างนี้ไงเธอเลยได้แค่นี้ คือเป็นคำพูดของคนในชีวิตจริง แบบเวลาเราคบหาใคร แล้วอยู่กันมาสักพัก ถ้าใครอยู่ถึงจุดนั้นจะเข้าใจ ว่าเวลาคนเราทะเลาะกัน มันจะเอาเรื่องก้นบึ้งที่อยู่ในใจ ที่หลุดออกมาโพล่งใส่กันโดยที่ไม่รู้ตัว และมันจะกลายเป็นคำพูดที่แทงใจกันมากๆ เลยทำให้ปะทะอารมณ์กันเยอะ ในส่วนตัวเราที่ทำการแสดงมา รู้สึกว่ามันเป็นคำพูดของคนในชีวิตจริง เพราะมันไม่ได้พูดว่าเธอนิสัยไม่ดี คือพูดในทำนองว่าเพราะเธอเป็นแบบนี้ไงเธอเลยไม่สำเร็จ เพราะเธอเป็นแบบนี้ไงเราเลยไปกันไม่รอด เหมือนเราไปจี้ใจดำเขา เลยรู้สึกว่าพอเจอซีนแบบนี้มันเลยค่อนข้างเยอะ และเราเจอประโยคแบบนี้ตลอด เรายังรู้สึกไม่ชอบประโยคที่ตัวเองพูดเลย รู้สึกว่าใจร้ายกับบัว ซึ่งบัวก็รับอารมณ์นั้นได้ดี รีแอ๊คชั่นที่ส่งมาก็ดีมากๆ

 

แล้วมีซีนไหนที่ดราม่าอีก?
หนึ่งในนั้นก็จะมีซีนผ่าตัด วิชาแพทย์ที่ต้องรักษาคนไข้ อารมณ์ความรู้สึกกับตัวละครร่วม เพราะด้วยนักแสดงมีความผูกพันกัน มีเรื่องราวต่อกัน มีความเป็นห่วงเป็นใย แล้วก็มีเรื่องที่เราไม่สามารถเปิดเผยกับคนแวดล้อมได้ ว่าเราเคยมีความสัมพันธ์อะไรกัน มันเหมือนมี 3 ความรู้สึกในเวลาเดียวกัน เช่นคนไข้จะไม่รอดแล้ว เขามีปัญหาเรื่องต่อมทอนซิล เราต้องผ่าเลย เราก็เลยต้องเครียดกับการผ่าตัด กับบัวเราก็ต้องมีความไม่มั่นใจ มีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน มีความรู้สึกที่อยากจะเอาใจช่วยเขาเหมือนกัน และอีกมุมนึงก็ต้องแสดงให้คนอื่นไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน คือมันมีหลายอารมณ์ถ้าเล่นน้อยไปก็จะดูไม่ออก แต่ถ้าเล่นเยอะไปก็จะดูโอเวอร์ เลยรู้สึกว่าเป็นซีนที่เราได้แสดงอะไรหลายอย่าง ก็ถือว่ายากสำหรับเรา ที่ต้องจัดสเกลของมันให้ถูก 

 

ทำการบ้านเยอะไหม?
ทำการบ้านเยอะในเรื่องของแพทย์ คำศัพท์ต้องเข้าปาก พูดมั่วๆไม่ได้ วิธีการจับอุปกรณ์ ดีที่มีการเวิร์คช็อป มีแพทย์มาประกบพวกเรา คือไม่ได้เครียดมากแต่เรารู้สึกสนุก เราได้พาร์ตเนอร์ทำงานที่ดี เขาก็ตั้งใจเล่น พอเจอคนที่ตั้งใจด้วยกัน เรารู้สึกว่าเราต้องตั้งใจไปด้วย 

 

เป็นเรื่องแรกที่ต้องรับบทเป็นหมอจริงจัง?
เพราะที่ผ่านมาระบุแค่ว่าเป็นหมอ หรือของความเป็นหมอแค่เสี้ยวหนึ่ง แต่ไม่ได้ใส่ชุดกาวน์ได้เยอะขนาดนี้ 

ฌอห์ณ จินดาโชติ

ฉากในห้องผ่าตัดจะได้เห็นมากขนาดไหน?
มันคือการยกวิชาแพทย์ออกมาเป็นฉบับซีรีส์เลยนะ พอดีญาติของผม คุณเจี๊ยบ ลลนา เขาเป็นหมอ แล้วเขาเป็นฝั่งอีเมอร์ (แผนกฉุกเฉิน) พอดี เวลาเห็นรูปเขาก็จะทักมาว่า เฮ้ยเหมือนที่เราทำเลย ฌอห์ณทำอย่างนี้ได้ใช่ไหม พอเขาทักมาแบบนี้เราก็เลยรู้สึกว่ายิ่งอิน เราก็เลยรู้สึกว่านี่คือวิชาแพทย์จริงๆ บางวันนักแสดงได้หูฟังแพทย์กลับบ้านไปจริงๆ เราก็เอาไปซ้อมฟังกับคุณภรรยา ว่าการฟังปอดถูกต้องไหม เราก็เลยรู้สึกว่าเหมือนได้วิชาชีพมา เราก็เลยอยากให้ทุกคนรู้ว่าหมอเขาทำแบบนี้จริงๆ 

 

กลัวไหมฉากผ่าตัดที่ต้องเจอเลือด?
เป็นคนไม่กลัวเลือด เพราะเป็นคนที่บริจาคเลือดเลือดเป็นประจำ สิ่งที่กลัวแต่สิ่งที่กลัวมากกว่าก็คือ คือคิดแทนหมอว่าความผิดพลาดมันไม่ควรเกิดเลยแม้กระทั่งวินาทีเดียว เพราะมันความเป็นความตาย เราจะเครียดตรงนั้นมากกว่า 

 

เราแสดงเองทุกฉากเลยไหม?
ร้อยละ 80 ทุกคนต้องทำกันเองหมด เพราะมันเรื่องของการอินเสิร์ตมือ มือแต่ละคนเวลาใส่ถุงมือลักษณะก็ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ทุกคนในเรื่องทำกันเองเกือบหมด เราถ่ายทำกันที่โรงพยาบาลจริง แล้วก็ถ่ายที่ห้องจำลองด้วย 

 

ถามว่าเครียดไหมเวลาถ่ายทำต้องเป็นแพทย์จริงๆ?
เรียกว่าตื่นเต้นแล้วกัน ไม่เคยรู้สึกว่าไม่อยากถ่าย เรามีการกำหนดซีน และทำการบ้านกันเยอะ จำบทว่ายากแล้ว เราต้องจำบล็อกกิ้ง จำความรู้สึก เพราะว่าเราต้องเล่นพร้อมกัน นักแสดง 5-6 คนต่อซีนเราต้องมาร์คจุดให้ชัดเจน เวลาที่ได้ใส่ชุดหมอเรารู้สึกภูมิใจ มันที่มีเกียรติ เหมือนเวลาเราได้ใส่ชุดทหารหรือตำรวจ เพราะว่าการเป็นหมอเราไม่ได้เป็นกันทุกคน แล้วหมออีอาร์ไม่ใช่หมอประเภทอื่น ต้องสแตนด์บายตลอดเวลา เราเหมือนหน่วยกู้ภัย เวลากินข้าวอยู่ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราต้องทิ้งทุกอย่าง 

 

คาดหวังเยอะไหม?
ผมว่าการคาดหวังที่ดี คืออย่าคาดหวัง เราทำเต็มที่ที่สุดในวันที่มีโอกาส เราไม่อยากฝากความกดดันไว้ที่คนดู แต่เราแค่อยากจะบอกคนดูว่าถ้าชอบแล้วบอกต่อด้วย แต่ส่วนตัวเราไม่เคยรู้สึกเสียดายเวลา 6-8 เดือนในการทำงาน มันคือเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้น มันคือผลงานที่น่าภาคภูมิใจ 

ฌอห์ณ จินดาโชติ
 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง