เปิดอกคุย ‘ตงตง’ ช่วงชีวิตวัย 28 ปีไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“ตงตง กฤษกร” เปิดใจช่วงชีวิตที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ในวัย 28 ปี ทั้งเวลาสุข หรือ ทุกข์ ล้ม แล้วลุก จะคิดถึงแม่อยู่ตลอด
เป็นช่วงที่ต้องบอกว่าชื่อของ “ตงตง กฤษกร” กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในเรื่องของงานและชีวิตส่วนตัว ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนนี้มีหลากหลายเรื่องราวทั้งดีและร้ายที่จะต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมาแบบขึ้นสุดลงสุดก็คงจะไม่เกินจริง 28 ปีที่เขาได้เรียนรู้ว่ารักคืออะไร ชื่อเสียงมาจากไหม และอะไรที่ทำให้เขากลายเป็น “ตงตง” ในวันนี้
งานละครตอนนี้กระแสดีมากกับเรื่อง “คู่พระ-คู่นาง” ทางช่องวัน 31 ?
"เป็นละครที่ต้องบอกเลยว่ายากมากจริงๆ สำหรับผม เรียกได้ว่า 1 ปีเต็มที่อยู่กับละครเรื่องนี้จริงๆ ผมจะบอกอยู่เสมอว่าลิเกเนี่ย ไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อน ช่วงแรกบอกได้เลยว่าทั้งเครียดและท้อ แอบตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ที่นี่คือที่ของเราจริงๆ หรอ” หรือว่าเราสามารถยกเลิกงานเขาได้หรือเปล่านะ พอไปแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา มันทำไม่ได้ มันยาก ยากทั้งร้อง ทั้งรำ ร้องผมนับจากศูนย์ใหม่ เราจะไปร้องสตริงก็ไม่ใช่ มันมีลูกเอื้อน มันมีวรรณยุกต์ ผมก็ต้องไปนั่งจดทีละคำ แล้วการรำผมก็เป็นคนที่ไม่เต้นอยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีพื้นฐานการรำมาก่อนเลย พอต้องมารำก็รู้สึกว่าไม่ใช่ทาง ผมพยายามแล้วพยายามอีกก็รู้สึกว่ายังยาก จำไม่ได้ มันไม่เข้าหัว จนสุดท้ายค่อยมาเข้าใจว่า ความยากจริงๆแล้วมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าเราเข้าใจศาสตร์มันจริงๆ เข้าใจความหมายมันจริงๆ เพราะว่าสุดท้าย การตี เขาเรียกว่าตีท่า การร้องการรำลิเก สุดท้ายผมเข้าใจแล้วว่าสิ่งนี้ต้องใช้ความรู้สึกในการที่เราจะโชว์ออกมา ต่างจาก K-Pop หรือ T-Pop ที่เราจะต้องเป๊ะทุกคำ ท่าจะต้องแข็งแรง สุดท้ายลิเกใช้ความรู้สึกในการร้อง ใช้ความรู้สึกในการรำ ไม่จำเป็นต้องตรงเป๊ะทุกคำ บางคำนิ่งๆก็ได้ เวลาชี้ก็ไม่จำเป็นต้องชี้ก็ได้ สามารถใช้สายตามองแทนก็ได้ อะไรแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ความรู้สึก ใช้หัวใจในการเล่นเลย”
ได้ดูตัวอย่างลิเกคนไหนเป็นพิเศษไหม?
"‘โตโต้ ธนเดช’ เป็นคนเดียวที่ผมเปิดดูเลย แล้วก็อาจจะมี ‘ศรราม น้ำเพชร’ และ ‘เอ ไชยา มิตรชัย’ ที่ได้เห็นตามยูทูบบ้าง แต่หลักๆก็จะไปดูโตโต้เวลาไปออกงาน แล้วก็จะได้ดูสตอรี่สั้นๆเวลาที่เขาไปอีเว้นต์ เราก็จะคอยดูว่าเขามีวิธีการร้องแบบไหน ลูกนี้มันเล่นได้นะ แต่สุดท้ายมันก็ไม่สามารถที่จะนำมาเชื่อมกับละครได้ 100 % เพราะว่าละครที่ผมเล่น ลิเกเรื่องนี้มันคือ ‘ลิเกโบราณ’ หรือเรียกอีกแบบว่า ‘ลิเกทรงเครื่อง’ ด้วยลิเกสมัยนี้มันเป็นลิเกสมัยใหม่ คำพูดหรือวิธีการร้องก็จะต้องปรับให้เหมาะกับคนในยุคนี้ เราจะนำวิธีของเขามาใช้ทั้งหมดไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้มาประมาณหนึ่งครับ เวลาที่ไปเรียนด้วยกัน พี่โต้ก็จะคอยช่วย ให้คำปรึกษาว่าตรงนี้ออกแบบนี้นะ คำแบบนี้ ลองแบบนี้ไหม จริงๆละครเรื่องนี้ผมได้รับเกียรติจากครูชั้นสูงมากเลยครับ อย่าง ‘ครูไก่’ ก็จะเป็นครูที่สอนเรียนของวัฒนธรรมด้านดนตรีและนาฏศิลป์ แล้วไหนจะครูที่สอนในมหาวิทยาลัยอีก 3-4 คน ผมเพิ่งจะมารู้ว่าเขาคือศิลปินแห่งชาติ ผมเลยรู้สึก โห..ผมเรียนกับอาจารย์ระดับนี้เลยหรอครับ ถ้าผมทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่ผมนะ แต่เราจะพาเขาอับอายไปด้วย เพราะฉะนั้นผมเลยเต็มที่มากๆ กับละครเรื่องนี้ครับ"
พอได้มาสัมผัสจริงๆ รู้สึกว่าเสน่ห์ของลิเกอยู่ตรงไหน?
"เสน่ห์ คือ ความเป็นไทย แล้วก็น้ำเสียง รวมถึงท่าทาง ผมเข้าใจเลยว่าทำไมพระเอกลิเกถึงมีแม่ยกเยอะขนาดนั้น เพราะว่าตอนที่ผมได้ฟังเสียงร้องโตโต้ ผมยังรู้สึกหลงรักเองเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังหลงเสียงของเขาเลย ผมให้เขาอัดเสียงใส่โทรศัพท์ผมเยอะมากเลยนะ เพราะผมชอบเสียงเขา แล้วก็เอามาฟังซ้ำๆเพื่อที่เราจะได้เรียนรู้เพิ่มเติม จริงๆนะผมเข้าใจเลยว่า คำว่าหลงพระเอกลิเกมันเป็นแบบนี้นี่เอง ซึ่งลิเกเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่มีเสน่ห์มาก คนอาจจะหลงลืมกันไปแล้ว ด้วยความเป็นไทย คนเลยอาจจะมาให้ความสนใจกับอะไรใหม่ๆ มากกว่า แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้แหละควรเก็บรักษาเอาไว้ ยิ่งผมไปรู้มาว่า คนที่จะสนใจลิเกจริงๆ คือเขาต้องเติบโตมาในบ้านที่เล่นลิเกอยู่แล้ว หรือมีการปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก และต้องใช้เวลา 2-3 ปี ถึงจะสามารถนำวิชาออกมา ไม่ใช่ใครที่จะหันมาทำอะไรแบบนี้แล้วใช้งานได้เลย ถ้าไม่ใช่คนที่เติบโตมาในบ้านที่เล่นลิเกอยู่แล้ว ผมเลยรู้สึกว่าสิ่งนี้ค่อนข้างยากสำหรับผมมากๆ เราต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กับมัน อยู่กับมันค่อนข้าง"
เห็นบอกว่าละครเรื่องนี้ตั้งใจให้เป็นซอฟพาวเวอร์ด้วยใช่ไหม เรื่องของวัฒนธรรมและการอนุรักษ์แบบไทย?
"ใช่ครับ เพราะว่า คู่พระ-คู่นาง เนี่ยเป็นลิเกโบราณที่เป็นลิเกทรงเครื่อง มีทั้งลิเกพื้นบ้านอยู่ตามทุ่งนา การแต่งตัวก็จะธรรมดา มีการพูดอีกแบบหนึ่ง สลับไปตอนเข้าเมืองอีกทีก็จะแต่งเป็นลิเกทรงเครื่องลิเกโบราณ ก็จะมีชุดแบบจัดเต็ม เครื่องเพชรแน่น แล้วก็ทาหน้าขาว คนส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยเห็นว่าลิเกหน้าขาวเป็นยังไง แต่สำหรับเรื่องนี้จะได้เห็นอย่างแน่นอน
ผมรู้สึกว่ามันคือซอฟพาวเวอร์หนึ่งเลย ที่คนดูจะได้เห็นวัฒนธรรมจริงๆ ทุกคนจะได้ย้อนเวลากลับไปให้เห็นถึงความเป็นไทย การใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งนา การเลี้ยงควาย การร้องเพลงตามทุ่งนา การร้องรำตามทุ่งนาการเข้าเมืองก็จะเป็นอีกภาษาหนึ่ง ท่าทางการพูดอีกแบบหนึ่ง คนจะได้เห็นความเป็นไทยเยอะมาก"
เรื่อง "คู่พระคู่นาง" เพิ่มขีดจำกัดการแสดงให้เรา ?
"การได้มาเล่นเรื่องนี้มันเพิ่มความสามารถในทุกๆ อย่าง ในทุกๆ เรื่องที่เราผ่านมามันมีหลากหลายประสบพบเจอ อุปสรรคนั่นนี่ต่างๆ เราจะรับมือกับเรายังไง พอเป็นกองพี่ธงด้วย เราก็ไม่รู้จักใครเลย นอกจากปลายฟ้าที่เป็นคนของช่อง พอเราไปร่วมงาน เจอพี่น้ำ รพีภัทร , เจอพี่นัท อติรุธ พอเขาไม่ใช่คนของช่องเรา ไม่เคยร่วมงาน ทีมงานก็เป็นคนของพอดีคำ เราก็เกร็ง แต่ว่าสุดท้ายผมรู้สึกว่า ทุกคนช่วยกัน ทั้งนักแสดงและทีมงาน ให้เราได้เรียนรู้ละครแต่ละกองมันก็ไม่เหมือนกัน เราได้เรียนรู้ในเรื่องของการแสดง เพราะการแสดงในแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมือกับมันยังไง เรามีอาวุธอยู่แล้ว การเล่นในแต่ละเรื่องเป็นแบบไหน"
ได้เป็นพระเอกของผู้กำกับที่ถือว่ามือทองของประเทศไทย อย่าง "ธงชัย ประสงค์สันติ" ด้วย
"ไม่เคยรู้ว่าพี่เขาเป็นผู้กำกับ รู้แค่ว่าเขาเป็นนักร้อง สามโทน (หัวเราะ) ผมเคยเจอพี่ธงที่พอดีคำ ตอนวันที่เปิดบริษัทพอดีคำ ตอนนั้นพี่ธงบอกว่าถูกชะตากับผม แล้วบอกว่าไว้ร่วมงาน แล้วมาเจอเขา และเขาก็ชวนผมมาเล่นคู่พระคู่นาง แล้วไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้กำกับ คิดว่าเขาเป็นผู้จัดคนหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องทำงานพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขากำกับ เพราะเรารู้ว่าเขาเป็นนักร้องสามโทนแค่นั้น ไม่ได้ดูผลงานอะไรเขาเลย ดูแค่ว่าเขาร้องเพลงอะไร เคยไปนั่งฟัง รู้แค่นั้น"
แล้วรู้ได้ไงว่า "พี่ธง" เป็นผู้กำกับ ?
"เพราะว่าเขามาที่กอง แล้วเขาก็กำกับทั้งเรื่องเลย เวลาผมเปิดเพลงสามโทน เพลงเจ้าภาพจงเจริญ เขาจะเขิน เขาชอบอะไรของเขาไป หลังจากนั้นถึงมารู้ว่าเขาเป็นลิเกโคราช ร้อง รำ ได้ด้วย แล้วพอเรื่องนี้มันเกี่ยวกับลิเก เขาเลยอินมาก ผมก็แซวเขาว่า พี่ทำไมไม่มาเล่นเอง เดี๋ยวผมไปกำกับ จริงไ เพราะว่าเขาอิน ในวันที่ฟิตติ้งเขาอินมาก ผมก็คุยกับเขาตั้งแต่วันนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ก็เลยเต็มที่ คือเขาอินมาก อย่างเพลงประกอบละคร เขาก็คิดชื่อเพลง เขาจะบอกว่าประมาณนี้ คือเขาอินมาก ผมยังแซวเขาว่า ทำไมพี่ไม่ร้องเอง (หัวเราะ)"
ได้อะไรเยอะเหมือนกันกับละครเรื่องนี้ ?
“ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากครับ เยอะมากจริงๆ สิ่งหนึ่งที่เราดีใจก็คือ ได้พูดคุยกับผู้กำกับเยอะ เราได้แชร์ความเป็นตัวละคร หรือว่าใส่แบบนี้ไหม แบบนี้ไหม หรือสิ่งที่มันได้เพิ่มเติม มันเลยทำให้เราอยากเป็นผู้กำกับเลยนะ เราอยากเป็นผู้กำกับคนหนึ่งที่แบบว่า ถ้าเราได้กำกับสักเรื่องหนึ่ง เราก็อยากกำกับเรื่องนั้นให้มันดี เราก็อยากมีทางนั้นบ้างมันไม่ได้มีคอร์สสอนว่า การเป็นผู้กำกับเป็นยังไง แล้วแต่ละคนกำกับก็ไม่เหมือนกันด้วย เพราะฉะนั้น เรายิ่งรู้เยอะขึ้น ก็จะรู้ว่าศาสตร์มันมีเยอะมาก มันมีแบบนี้ด้วยนะ มันก็คือสิ่งที่เราอยากเรียนรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ และเมื่อในวันที่มันพร้อมขึ้นมา อาจจะไม่ได้พร้อมที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็มีคำว่า พร้อม เกิดขึ้น”
ดูโตขึ้น เพราะวางแผนอะไรเยอะมาก ?
“ใช่ครับ คือมันต้องวางแผนหลายอย่าง ผมอายุก็ค่อนข้างมากแล้ว ปีนี้ 28 ถ้าเราทำงานในวงการ เราจะรู้ว่า 1 ปี มันเร็วมาก เพราะฉะนั้น ถ้าเราแค่ใช้ชีวิตแบบ ไปถ่ายละคร ไปรอเขาเรียกเข้าซีน มันไม่ใช่ คืออะไรที่มันจะทำให้เราได้เรียนรู้ในหนึ่งวันนั้น ใน 24 ชั่วโมงนั้น ให้ได้มากที่สุด อะไรที่เราพอทำได้ เราก็จะทำ เพราะไม่อยากให้ 1 วันนั้นเสียไป ผมก็เลยพยายามทำให้ทุกๆ วัน มันมีค่ามากที่สุด แล้วเราก็มองไปถึงอนาคต คือแบบเก็บเงิน ทำงาน เราอยากได้ตรงนี้ อยากทำตรงนี้ อยากทำมันให้ได้ เรามองไปถึงตรงนั้นแล้ว ผมยอมเสียสละเวลาทุกอย่างในการทำ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่ามันเหนื่อย มันเป็นอย่างนี้ เออจากตรงนี้เราได้เรียนรู้ไปด้วยอะไรอย่างนี้ครับ”
มองชีวิตตัวเองไว้ยังไง การงาน ความรัก เป้าหมาย?
“การงานก็อยากประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ในทุกๆ เรื่องที่เป็นงาน ไม่ว่าจะเป็น ในด้านวงการบันเทิง นักแสดง หรือว่าเป็นงานข้างนอก อยากประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุด แล้วก็ด้วย ณ วันนี้เรายังมีแรงทำได้ อยากทำให้มันเต็มที่และทำมันออกมาดีที่สุด เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องเสียใจหรือเสียดายว่ารู้แบบนี้จะทำอันนี้ดีกว่า”
เป้าหมายไหนที่ได้เห็นกันเร็วๆ นี้ ?
“ที่เห็นชัดคือบ้าน ตอนนี้เสร็จแล้ว ซื้อให้แม่ แพลนเข้าไปอยู่เดือนนี้แหละครับ คุยกับแม่แล้ว บ้านเสร็จก็คงจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ แต่แม่คงจะแบบไม่ได้มาอยู่ถาวร คงจะนานๆ มาที อาจจะเป็นเดือนละครั้งหรือ 2-3 เดือนครั้ง แต่อย่างน้อยมันก็จะเราก็จะได้เจอแม่บ่อยขึ้น
ได้ใช้ชีวิตแบบว่าคำว่า ‘บ้าน’ เพราะว่าอย่างเมื่อก่อนเราอยู่กับแม่ เราเจอหน้าแม่ตลอด แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ ผมก็คือพอเราตัวคนเดียวอะ เราก็ได้แค่คุยโทรศัพท์ แต่พอเรามีบ้าน เราก็จะได้กลับไป ได้เจอแม่ แม่ได้ทำกับข้าวให้ ได้แบบใช้คำว่า กลับบ้านแล้วนะ กำลังกลับบ้านจากที่แบบเออกำลังกลับคอนโดนะ อะไรอย่างงี้ครับ มันก็ได้แบบ มันอีกความรู้สึกนึง”
เหมือนคำว่าว่าบ้านยิ่งใหญ่กับเรามาก?
“ใช่ครับ เพราะเมื่อก่อนผมอยู่แต่บ้าน อยู่บ้านกับแม่ตลอด ใช้ชีวิตอยู่บ้านกับแม่ในทุกๆ วัน เจอทุกวัน ไม่ว่าจะกลับดึกแค่ไหน ยังไงก็ต้องกลับบ้าน ผมจะเป็นอย่างงี้ แม่คือจะพูดเอาไว้เสมอ ต้องกลับบ้าน ดึกแค่ไหนแม่ก็รอ แม่รอ ไม่ให้กุญแจบ้านผมด้วย แม่รอเพื่อที่จะเปิดประตูให้ดึกดื่นแค่ไหน แม่ก็รอ เราเลยอยากให้ความรู้สึกนั้นมา แต่ไม่ใช่ว่าบ้านมาผมจะกลับดึกอีกนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่นะ ผมก็คงจะแบบ เออได้เห็นแม่อยู่ในบ้าน เห็นแม่ว่า เออแม่ทำกับข้าวอยู่บ้าน”
แปลว่าจริงๆ คำว่า “บ้าน” สำหรับเราไม่ใช่แค่ตัวบ้านเป็นหลังแต่หมายถึงคนที่อยู่?
“มันคือความรู้สึก มันไม่ใช่แค่เรามีบ้าน แล้วเราเข้าไปหลับนอนได้ มันไม่ใช่แค่นั้น มันมีหลากหลายความรู้สึก มันมีทุกอย่าง มันมีของที่เราแบบ เป็นคนหามาเอง เราลงทุนกับมัน แม่อยู่แม่ดูแล เห็นแม่ทำกับข้าว ได้นอนบ้าน มองในสิ่งที่เราซื้อ มองในสิ่งที่เราลงทุนกับมัน มันมีหลากหลายความรู้สึกครับ”
ตงตง - แม่
เป็นโมเมนต์ที่โหยหา?
“เป็นความฝันของเด็กคนนึงเหมือนกัน ผมเชื่อว่าเด็กหลายๆ คน ก็อยากสร้างบ้านให้กับพ่อกับแม่ แล้ววันนึงเราทำมันสำเร็จคงเป็นความรู้สึกที่ภูมิใจมากๆ ในวันที่แม่เหยียบเข้าไปในบ้าน อาจจะไม่ต้องพระที่ไหนเลยด้วย แค่แบบแม่เป็นพระประธานในบ้าน เดินเข้าไปเหยียบ แม่เดินเข้าไปมอง แค่นั้นผมน่าจะมีความสุขมาก”
ถ้าตอนนี้ให้พูดถึง “ตงตง” ในอายุ 28 ในช่วงนี้และที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?
“ผมว่าคนเราได้เรียนรู้ และได้ศึกษา อะไรแบบหลายๆ อย่างค่อนข้างเยอะมาก มันทำให้เราโตขึ้น มันทำให้เราได้คิดเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบ เรื่องการทำงาน หรือเรื่องการเจอผู้คน หรือว่าการรู้จักใครสักคนนึง เรียนรู้เยอะๆ มันต้องค่อยๆ ดู ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ศึกษา และละเอียดกับทุกๆ อย่างในชีวิตของเรา ละเอียดกับทุกๆ คน ศึกษาคน แล้วมันก็จะสอนให้เรา ใช้ชีวิตที่แบบระมัดระวัง ได้คิดก่อนทำ มันได้มองถึงขั้นว่า ทำให้อันนี้สิ่งนี้จะเห็นผล พอเห็นผลขึ้นมาแล้วเป็นยังไง หรือถ้าไม่เห็นผลมันจะเป็นยังไง มันได้คิดหลายขั้นหลายตอน เราอยากทำงี้ มันจะส่งผลไปถึงอนาคตตรงนี้ รู้สึกว่า เราสนุกในการใช้ชีวิตด้วยซ้ำ สนุกแล้วมันมีความสุขในการใช้ชีวิต”
ดูเหมือน “แม่” มีความสำคัญกับ “ตงตง” มาก แล้วเวลาที่ไม่มีแม่ จัดการยังไงกับตัวเองเมื่อมีปัญหา?
“ผมไม่ได้อยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯ แล้วผมก็เป็นคนที่ไม่เอาคำ ไม่เอาอะไรที่ทำให้แม่ปวดหัวไปใส่ เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นห่วงเรา ผมไม่อยากให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกนั้น ก็จะพยายามแก้ไขทุกอย่างด้วยตัวเราเอง แม้ว่าจะเรื่องดีไม่ดี เราจะอยู่กับมัน ตั้งสมาธิแล้วคุยกับตัวเอง สุดท้ายสิ่งที่มันทำให้ผมได้เรียนรู้อะ น่ากลัวที่สุดคือตัวเอง สิ่งที่ช่วยมากที่สุดก็คือ เราต้องทำยังไงให้มันผ่านไปให้
ผมพยายามคิดถึงเรื่องแม่ คิดถึง คุยกับตัวเองว่า เรายอมแพ้ไม่ได้นะ เราเจอเรื่องแบบนี้ เครียด เรายอมแพ้ไม่ได้ สิ่งที่เราผ่านมา 6-7 ปีในวงการ เราอุตส่าห์ฝ่าฟันมาเราจะมาจบแค่เรื่องนี้ไม่ได้ สิ่งที่เราผ่านมามันยากเย็นแค่ไหน ไม่มีใครรู้อะ คนที่รู้คือตัวเรา
อะไรที่มันไม่ดี ผมไม่อยากให้คนรอบข้างมารู้สึกไม่ดีไปด้วย เขามีเรื่องปวดหัวของเขาแล้ว ต้องมาปวดหัวกับเราเพิ่ม มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
โดนด่า โดนว่า ถ้ายอมแพ้ง่ายๆ แล้วสิ่งที่เรียนรู้มา 6-7 ปีคุณได้อะไร คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นต้องเอาทุกๆ อย่าง ที่เราผ่านมาเรียนรู้กับมัน คุยกับตัวเองเยอะๆ ไม่มีสิ่งไหนนำพาเราผ่านมันไปได้ ใช้คำว่าเข้าใจ สุดท้ายผมก็จะพูดแบบนี้กับตัวเองเสมอ ตั้งแต่วันเข้าวงการว่าเราไม่สามารถแคร์คนทั้งโลกได้ เราไม่สามารถไปอ้อนวอนให้ทุกคนมารักเราได้ เราไม่สามารถที่ให้ทุกคนมาเข้าใจเราได้ เราทำได้แค่เป็นเราในแบบของเรา เราทำในสิ่งที่คนที่เรารักเข้าใจเรา เคยใช้ชีวิตอยู่กับเราแล้วเขาเข้าใจ เท่านั้นเพียงพอ
ในอาชีพที่ผมทำงานมีทั้งคนชอบและคนเกลียด เราจะไปบังคับให้คนที่เกลียดมาชอบเราก็คงไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องทำปัจจุบันและอนาคตให้เขารู้ว่าสิ่งที่เราเป็นนั้นเป็นยังไง เดี๋ยวคำว่าไม่ชอบ คำด่ามันจะกลับกลายเป็นอีกแบบ ซึ่งเราไปบังคับใครไม่ได้
ดีที่สุดคือการไม่ไปต่อสู้ ไปเถียง ไปด่าไปตอบโต้ เรารู้ดีว่าเราเป็นอย่างไร เราไปบอกให้ทุกคนเข้าใจเราไม่ได้หรอก ปล่อยเขานั่นไม่ใช่ปัญหาของเรา เป็นปัญหาของเขาที่เขาจะต้องเผชิญ ซึ่งเขารับไปก็ไม่ได้อะไร ก็มันคือตัวผม ก่อนที่เราจะไปให้ใครเข้าใจ เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน”
มีช่วงนึงเราหายไปจากโซเชียลเลย?
“ช่วงนึงที่ผมหายไป ผมไปอยู่กับตัวเอง ไปเรียนรู้และเข้าใจในอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้งบางเรื่องเราเล่าให้ใครฟังไม่ได้หรอก สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ เข้าใจและผ่านมันไปให้ได้คือตัวเราเอง เราจะพาตัวเองผ่านมันไปได้อย่างไร เราจะพาตัวเองเข้าใจ รู้สึกอะไรกับมัน มันต้องอยู่กับตัวเอง ใช้เวลากับตัวเองนายพอสมควรถึงจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้
รู้ว่ามีหลายคนเป็นห่วง ก็จะบอกเขาว่าผมยังฟื้นและกลับมายิ้มได้นะ แต่ทุกคนอย่าเครียด อย่าเศร้าไปตามผม ยิ่งพวกเขาเศร้าผมจะยิ่งเศร้าไปอีกหลายเท่า มันก็ค่อนข้างยาก ผมสามารถดึงตัวเองกลับมาได้ แต่ขอระยะเวลาผมหน่อย ทุกคนเป็นรอยยิ้ม เป็นกำลังใจให้ผม แล้วผมจะกลับมา ตอนนี้กลับมา 100% แล้วครับ”
ความรักในปัจจุบันและอนาคต ?
“ยังไงคนเรามันก็ต้องมีความรัก ก็มองไว้ว่าสักวันหนึ่งผมอยากจะมีลูก มีครอบครัวที่ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข เราอยากเจอคนที่เป็นผู้ใหญ่ อยู่กับเราแล้วคุยกันอย่างเข้าใจ ซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ไม่ต้องอะไรเยอะแยะมากมายเลย อยู่ข้างกันในวันที่ท้อ เข้าใจในอาชีพที่เราทำ เข้าใจเราในแบบที่เราเป็น ช่วยกันสร้างอนาคตไปด้วยกัน
เราก็มีสิ่งที่วาดฝันไว้แหละ ผมอยากได้คนที่มาทำฝันนั้นด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเส้นทางของผมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันจะมีอุปสรรคฉุดรั้งเอาไว้ แต่จับมือไปด้วยกัน โดยที่เราไม่ต้องเอนซ้ายเอนขวา ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งถ้าผมเจอคนๆนั้นผมจะพาเขาไปหา ไปตามฝันที่ฝันเอาไว้ด้วยกัน
ผมว่าความรักมันไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้า ไม่ต้องไปตามหา เราเคยอยู่ในช่วงตามหา ไขว่คว้าความรัก สุดท้ายมันทำให้เรารู้ว่าความรักไม่จำเป็นต้องไขว่คว้า หรือตามหาอะไร เมื่อถึงเวลาที่มันใช่ มันจะตามหาเราเอง คนที่ใช่ผมเชื่อว่าจะมาในวันที่เราไม่ได้ไปตามหา เมื่อเราพร้อมก็คนๆนั้นแหละ“
โสดไหมตอนนี้ ?
“โสดครับ ไม่ได้ปิด ไม่ได้พัก เมื่อถึงเวลาก็คงจะมีคนที่เราคิดว่าใช่เข้ามา ณ เวลานั้น อายุไม่ติดเลยจริงๆ อย่างที่บอกขอให้เป็นคนที่จะทำความฝันไปด้วยกัน คนที่โตเป็นผู้ใหญ่ คนที่คุยกับเราแล้วเข้าใจ อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย“
ถ้าเจอคนที่ใช่แล้วคนแรกที่จะพาไปเจอคือใคร?
“แม่ครับ ต้องผ่านด่านแม่ก่อน แม่ผมเป็นคนง่ายๆบ้านๆ ไม่ต้องอะไรเยอะเลย สบายๆ สุดท้ายผมว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัวด้วยนะ สุดท้ายผมว่ามันเกี่ยว ฝั่งบ้านเราโอเคไหม ฝั่งบ้านเขาโอเครึเปล่า มันก็ต้องดูอะไรหลายๆอย่าง”
แล้วเราแบกไว้คนเดียว มันไหว?
"มันต้องไหว ยังไงมันก็ต้องไหว เราต้องอยู่กับตัวเอง เราต้องรู้ว่าอะไรที่เราผ่านมา สู้มา เราจะยอมแลก ยอมจบเหรอ มันต้องมาบาลานซ์ทุกอย่างใหม่ คุยกับตัวเอง มาเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง เรื่องแบบนี้มันบอกใครไม่ได้ บางคนก็มีวิธีการของแต่ละคนที่แตกต่างกัน บางคนเลือกจะคุยกับเพื่อนแล้วหาย บางคนอาจจะมูฟออนเลยก็ได้หมด แต่สำหรับผมเรื่องอะไรที่หนักๆ ร้ายแรงการอยู่กับตัวเอง เข้าใจความรู้สึกตัวเอง เรียนรู้ว่าควรทำอะไรสิ่งไหน ควรใช้ชีวิตในรูปแบบไหนดีกว่า"