'ปีเตอร์ ธูนสตระ' เปิดตัวแฟนสาว อายุห่างกัน 11 ปี เผยเส้นทางรักมาราธอน 12 ปี ฝ่ายหญิงโดนดูถูก ไล่ไปทุบหน้า ถูกมองไม่เหมาะสมกัน
ควงคู่กันออกมาเปิดตัว เปิดใจเป็นครั้งแรก สำหรับ "ปีเตอร์ ธูนสตระ" และ แฟนสาว "จอย สุจิตรา" ที่ล่าสุดออกมาเปิดเผยเส้นทางรักยาวนานกว่า 12 ปี ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน พร้อมเปิดใจถึงอาการป่วยของแฟนสาวที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว รวมถึงอุปสรรครัก สารพัดคำบูลลี่ ถูกมองว่าไม่เหมาะสม แถมโดนไล่ให้ไปทุบหน้า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง One31
โดยทั้งคู่ ได้ออกมาเล่าถึงจุดเริ่มต้นความรัก วันที่เจอกันครั้งแรกที่ห้างดังแห่งหนึ่ง แต่ตอนนั้นฝ่ายหญิงถึงขั้นวิ่งหนี เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชาวต่างชาติ สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นดารา คิดว่าเป็นชาวต่างชาติทั่วไป จนกระทั่งสานสัมพันธ์จริงจัง ผ่านอุปสรรคบนเส้นทางรักร่วมกันมายาวนานกว่า 12 ปี
ผู้หญิงคนนี้ คือสเป็กเลยไหม?
ปีเตอร์ : ก็คิดว่าคนนี้น่ารัก ก็อยากคุย เพราะเราไม่ได้ไปที่นี่ประจำ ไปงานพอดีเลยอยากถือโอกาสถ้าไม่ได้คุยวันนี้ก็คงไม่ได้ข้ามกรุงเทพฯ มาอีก เห็นแล้วก็เลยอยากลองคุยกันดู เพราะว่าโอกาสที่จะเจอและน่าสนใจก็ไม่บ่อย ก็เลยถือโอกาสคุยดู
สรุปวันนั้นเขาได้สั่งข้าวไหม ?
จอย : จริงๆ เขาจะเอาเบอร์หนูนี่แหละ เราก็งงว่าเขาเป็นใคร เราก็เขินเลยแบบไม่ให้ดีกว่า ยังไม่อยากให้ แต่เพื่อนบอกให้ไปเถอะ เขาคงอยากได้ไปเฉยๆ คงไม่โทรคุยหรอก ก็เลยให้ไปเป็นเบอร์ เพราะตอนนั้นยังไม่มีไลน์ เฟสบุ๊คก็ยังไม่มี ต้องเข้าบราวน์เซอร์ก็เล่นยาก ก็เลยให้เป็นเบอร์โทรไป เขาก็ถามว่าเลิกงานกี่โมง พอเราเลิกงานเขาก็โทรมาเลย
ตอนแรกที่คุยคือยังไง แนะนำตัวซึ่งกัน และกันหรือเปล่า?
จอย : ใช่ ค่ะคือเขาจะเป็นคนถามมากกว่า ถามว่าเราทำงานที่นี้นานหรือยัง อยู่ที่ไหน อยู่กับพ่อแม่หรือเปล่า ก็เลยตอบรวดเดียวไปเลย ตอนนี้อยู่กับลูกนะ มีโรคประจำตัวนะ คือบอกหมดทุกอย่างที่เขาอยากรู้ ก็คิดว่าให้รู้ไปเลยวันแรก ถ้าไม่คุยต่อก็คือจบไปเลย ก็แอบกลัวแต่สักวันเขาก็ต้องรู้แหละ ถ้าไปรู้ตอนหลังละมันจะเสียความรู้สึก
ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นดาราเขามาจีบเราเรารู้สึกไหมว่าเขาก็หล่อนะ ?
จอย : หล่อนะ แต่ว่าหนูไม่ค่อยชอบฝรั่ง ไม่ชอบคนต่างชาติ เพราะว่าตัวใหญ่ ฟังไม่รู้เรื่องด้วย ถามว่ารู้สึกยังไงพอคุยกันไปเรื่อยๆ ก็นิสัยดีนะ แต่ว่าดูก่อน ยังไม่ปักใจ
เห็นว่าคุยกันไประยะหนึ่งแล้วคุณจอยตั้งย้ายไปอยู่ใต้
จอย : ก็คือว่าพึ่งเจอกันไม่ถึงอาทิตย์หนูก็ต้องไปช่วยงานพ่อ ช่วงนั้นก็คุยกันตลอด จริงๆ ก็ไม่ได้คุยเท่าไหร่เพราะเราก็ทำงาน
ปีเตอร์รู้สึกยังไงกำลังคุยกำลังจีบก็ต้องไปใต้แล้ว?
ปีเตอร์ : ตอนแรกคิดว่าข้ามกรุงเทพมันไกลพอสมควร แล้วพอโทรคุยเขาบอกว่าต้องไปภาคใต้ เราก็เอ้า ไปภาคใต้ไปทำอะไร เขาก็บอกไปช่วยงานพ่อก็ไปสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะไปนานเท่าไหร่อาจจะเป็นอาทิตย์ อาจจะเป็นเดือน คุยไปคุยมาสรุปไป 3 เดือน ก็คุยมาเรื่อยๆ ตลอดนะช่วงนั้น
ตอนแรกเราประทับใจอะไรในตัวเขา?
ปีเตอร์ : เป็นคนสู้ เป็นคนเก่ง ยิ้มตลอด ก็เลยประทับใจ
พอหลังจากไปอยู่ใต้ 3 เดือน เริ่มเดตกันตอนไหน ?
จอย : ก็หลังจากกลับมา
แสดงว่าตั้งแต่คุยโทรศัพท์ยังไม่ได้เจอกัน ?
จอย :ใช่ค่ะ จนเรากลับมาเขาก็นัดกินข้าว ดูหนัง ตอนแรกก็ว่าจะกินข้าว ดูหนัง แล้วกลับแต่ก็ต่อยาวเลยค่ะ
ตอนนั้นรู้สึกยังไงตื่นเต้นไหม ?
จอย : ก็รู้สึกแปลกๆ ว่ามีแต่คนมองเขาแต่เราไม่รู้ เราก็แปลก ๆว่าทำไม ฝรั่งคนนี้มีแต่คนมองเยอะจัง ทำไมเขามองเราแปลกๆ ก็เลยถาทเขาว่าคุณเคยออกทีวีไหม
นอกจากมีคนมองแล้ว เวลาไปไหนมีคนมาขอถ่ายรูปเขาไหม ?
จอย : ตอนนั้นยัง ตอนที่ไปห้างที่หนึ่งก็ยังไม่มีใครมาขอถ่าย ได้แต่บอกว่าดารา เพราะเรามากินข้าวกันอยู่ในร้านอาหารก็ไม่มีใครเข้ามาถ่ายได้ แต่ก็ชี้และมองกัน เราก็รู้สึกแล้ว เราก็เลยถามเขาว่าเคยออกทีวีมั้ย เขาก็ตอบว่าใช่ แต่ก็ยังไม่บอกเราอีกนะว่าเป็นนักแสดงหรืออะไร เราก็กลับบ้านไปถามน้อง ถามน้องสาวว่าตัวเองลองเสิร์จดูให้หน่อยรู้จักมาคนนี้แล้วก็บอกชื่อเขาไป เขาก็บอกว่าเคยแสดงหนังด้วยเนี่ย
ทำไมถึงไปบอกไปเลยว่าเราเป็นนักแสดง ?
ปีเตอร์ : ก็มันเป็นเรื่องแปลกๆ เนาะ ก็ไม่รู้ว่าจะไปบอกทำไมว่า เออเราเป็นนักแสดงนะ รู้จักเรามั้ย เหมือนอวดตัวเองคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว
พอคุณแม่ของจอยรู้ก็ตกใจเลย ?
จอย : เป็นแม่เลี้ยงเขาก็ตกใจ ว่ามีฝรั่งที่เป็นนักแสดงด้วยมาชอบ เขาก็บอกว่าเขาแค่คุยเล่นหรือเปล่าเพราะเขาเป็นนักแสดงด้วย เขาจะชอบใครก็ชอบได้เพราะรอบตัวเขามีแต่คนสวยๆ เราก็ทำใจว่าเขาอาจจะมาคุยเล่นๆ
อะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าเขาไม่ได้เข้ามาคุยเล่นแล้ว ?
จอย : อะไรดี (หัวเราะ) คือทุกอย่างที่เขาดูแลเรา
ปีเตอร์ : ดูแลนานพอสมควร พิสูจน์กันและกัน เขามาช่วยดูแลตอนที่เราลำบาก
คุยกันอยู่นานไหมถึงตัดสินใจเป็นแฟนกัน วางอนาคตด้วยกัน ?
ปีเตอร์ : ไม่ได้พูดเลยเนาะ เราสนิทและดูแลกันมาเรื่อยๆ
จอย : คนเขาเห็นเขาก็รู้กันเอง ว่าคบกัน
มีเอ่ยปากบอกเป็นแฟนกันนะบ้างไหม ?
ปีเตอร์ : ก็ไม่ได้พูดตรงเลยเนาะ เราเข้าใจกันเองมากกว่า
จอย : ถามเขาว่าไม่อายหรอมาคบกับฉัน
ปีเตอร์ : เขาเป็นคนถามตรงแบบนี้แหละ
อายุห่างกัน 11 ปีมีผลบ้างไหม ?
ปีเตอร์ : ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่นะ ไม่มี ถ้าเป็นวัยรุ่นอาจจะมากกว่า ถ้าเลย 30 ไปแล้วรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรมากหรอก ตอนนี้ก็อายุ 50 แล้วออกกำลังกายตลอด มีผลช่วยได้แน่นอน
โรคประจำตัวของพี่จอย ?
จอย : เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด เริ่มให้เลือดมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ ทำให้ร่างกายรับธาตุเหล็กเกิน ตั้งแต่เจอเขาเขาก็หาทางรักษา
ปีเตอร์ : ตอนแรกที่คบกัน เราก็ไม่เคยเก็ต แต่พอคบกันจริงๆ แล้วเขาต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย เหมือนเพิ่งเข้าไปไม่นานเข้าอีกแล้ว เราเลยให้เขาเขียนมาแล้วก็ไปหาข้อมูล
จอย : หมอก็จะนัดติดตามอาการทุกเดือน ไปก็จะให้เลือด ถ้าไม่มีเลือดจากโรงพยาบาลก็จะเปิดรับบริจาค แต่ช่วงโควิดเลือดก็ขาดแคลนมากต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนาน 2 เดือนตัวก็ซีดลงเรื่อยๆ
ปีเตอร์ : สำหรับคนที่ไม่รู้โรคธาลัสซีเมียคือไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์ ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดแดงมีหน้าที่รับออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปในร่างกาย ถ้าร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์ได้ก็ต้องรับเลือดที่บริจาคมา ก็จะช่วยได้แค่ 1 เดือน ก็ต้องไปหาหมอเรื่อยๆ ทุกเดือน
ไปโรงพยาบาลทุกเดือน นอนทีละกี่วัน ?
จอย : ช่วงนี้ก็จะนอน 5 วัน เพราะจะให้เลือด 2 ถุง แล้วก็กลับบ้านได้ แต่หมอจะสั่งให้ยาขับธาตุเหล็กเพิ่มก็คือว่าต้องนอน 5 วัน ให้วันละ 1 โด๊ส ก็คือ 8 ชั่วโมงที่ให้ทางสายน้ำเกลือ พอหมดแล้วก็ต้องให้ต่ออีกวัน ถ้าเรารักษาและให้เลือดอยู่ตลอดก็จะเหมือนคนปกติไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าตัวซีดลงคือขาดเลือดแล้วจะมีอาการเป็นไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อ จะเหนื่อย
เวลาไปนอนโรงพยาบาลพี่ปีเตอร์ก็จะไปเฝ้า ?
ปีเตอร์ : ก็ไปเฝ้าบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะด้วยการงานด้วย
ทำไมถึงอยากดูแลอยู่ข้างๆ เขา ?
ปีเตอร์ : เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่ดี สู้เก่ง เห็นคนสู้เก่งเหมือนให้กำลังใจเราด้วย ถ้าเราไม่เจออะไรหนักเท่านี้เราก็สู้ได้
โรคนี้จริงๆ ทำให้หายขาดได้ด้วยการปลูกถ่ายกระดูกสันหลัง ?
จอย : ใช่ค่ะ ช่วงนั้นคือที่เจอคุณปีเตอร์อายุเกินแล้ว เขาก็พาไปหาหมอหลายโรงพยาบาลว่าสามารถทำได้มั้ย หมอก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะอายุเกิน อายุต้องประมาน 20
ปีเตอร์ : และถ้าร่างกายข้างในเสียธาตุเหล็กไปเยอะเขาก็ไม่อยากให้เสี่ยง เพราะก่อนจะทำต้องทำลายไขกระดูดของเราก่อนแล้วเอาอันสมบูรณ์เข้ามา ถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์มันก็จะอันตราย
จอย : เราก็ตัดม้ามไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ภูมิต้านทานไม่มีก็จะป่วยง่าย
ไม่ให้ทางเขาไปทำงานด้วย ?
ปีเตอร์ : ไม่เชิงว่าห้าม หรือบังคับเด็ดขาด เราคุยกันว่าธรรมชาติถ้าจะหยุดทุกเดือน เดือนละ 3-5 วัน ใครจะให้เราทำแล้วป่วยมายังต้องพักงานอีก ภาวะทำงานหนักก็กลัวป่วยอีก
จอย : มีภาวะกระดูกบางด้วย หักง่าย หมอบอกว่าต้องระวังเวลานั่งแรงๆ เคยมีซี่โครงหักอยู่ครั้งหนึ่งนานแล้ว ตกจากที่สูงมา นั่งอยู่หลังรถกะบะ
มีครั้งนึงไปหาหมอช้าเกือบไม่รอด ?
จอย : ก็มีที่ไปใต้อะค่ะ เรารักษาอยู่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ แล้ววันนั้นกำหนดหมอนัดแล้วแต่ยังไม่ได้กลับมา แล้วมีอาการขึ้นมาพ่อก็ให้อยู่บ้าน เราก็หายใจไม่ออก แน่นหน้าอกไข้ขึ้นสูง พอไปหาหมอทางนั้นก็ไม่สามารถรักษาเราได้เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ให้ยาฆ่าเชื้อไข้ก็ไม่ลง ก็โทรมาขอประวัติตรงนี้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตามหมอนัดตลอด
มีเรื่องลูกชายที่ต้องปรับตัวด้วย ?
ปีเตอร์ : ใช่ครับ ลูกชายกับแฟนเก่าคือเขาก็บอกเราตั้งแต่แรกเลยนะ เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีแฟนที่มีลูกแล้วนะแต่ก็ลองดูละกัน เจอกันแรกๆ เขาก็บอกพาลูกไปด้วยได้มั้ย เราก็บอกพามาลองดู 3 ขวบน่ารักมาก เป็นเด็กดี
ลูกชายเขายอมรับเราไหม ?
ปีเตอร์ : เขาน่ารัก เขาโอเค เขาเรียกเราว่าลุง ชอบยิ้มอารมณ์ดีเหมือนแม่
เราบอกลูกเราว่ายังไงตอนนั้นมีเขาเข้ามา ?
จอย : ก็บอกว่าเป็นเพื่อนของแม่ พอโตขึ้นเขาก็รู้เอง เพราะเขามารับไปกินข้าวทุกอาทิตย์ ก็เหมือนเด็กเขารู้เอง ตอนแรกมีคนถามเขาว่าเป็นพ่อหรอ เขาก็ปฏิเสธ ตอนเล็กๆ เหมือนไม่ได้อยู่กับพ่อแท้ๆ ด้วย ประมาน 10 ขวบเขาก็เริ่มเข้าใจ ตอนนี้เขา 15 ขวบและใกล้จะถึงวันเกิดเขาแล้ว เขาไม่ได้เรียกแด๊ดดี๊เขาเรียกลุงเหมือนเดิมเพราะติดปากมาตั้งแต่เด็ก
ทุกวันนี้เขาเข้าใจแล้ว มีมาปรึกษาอะไรกับเราไหม ?
จอย : ไม่มีค่ะ เขารู้แล้วว่าเขาเป็นคนดูแลคุณแม่ดูแลไปถึงลูกชายด้วย
ปีเตอร์ : เสียดายอย่างหนึ่งเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก จับเรียนตอนนี้ก็ยาก ไม่งั้นจะได้สองภาษาไปเลย
ทำยังไงให้ลูกเขายอมรับในตัวเรา ?
ปีเตอร์ : ก็จริงๆ แล้วโชคดีที่เขาเป็นคนสนุกสนานอารมณ์ดีไม่มีอะไรต้องปฏิเสธอะไร ด้วยความเป็นผู้ชายด้วยก็จะชวนกันไปเล่นเกมส์ในห้าง
คาดหวังในอนาคตไหม เขาจะเรียกเราเปลี่ยนสถานะ ?
ปีเตอร์ : ผมโอเคนะครับ อยากให้ทุกคนแฮปปี้ ถ้าเขาโอเคที่เรียกว่าลุงผมก็แฮปปี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกไม่ใช่คำพูด ก็เป็นลุงกับหลานที่สนิทกันพอสมควร เขาเลี้ยงลูกเก่งมาก
จอย : ตามนั้นเรียกยังไงก็ได้ เพราะเขาไม่ได้ซีเรียส สบายๆ
โดนบูลลี่ยังไงบ้าง ?
จอย : เขาบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่สวย มาทางคอมเมนต์ ตอนแรกบอกว่าเราจ้างคุณปีเตอร์มาพูดได้เท่าไหร่ตอนไลฟ์สด ก็คิดว่าเราจ้างเขามา ตอนแรกบอกตัดต่อภาพ วีดีโอ ไลฟ์สด บอกเขาเป็น AI บอกให้หนูไปทำหน้าใหม่ สวยนะแต่ไปทำจมูก ตัดกราม เหลากราม ทำให้หมดเลย ไม่เคยอยากตอบโต้เขา แต่ก็มีแฟนคลับน่ารักมากเป็นเอฟซีเขาก็ตอบกลับแทนทุกอย่าง เราก็อยู่เฉยๆ เขาชอบเราที่เป็นแบบนี้
ปีเตอร์ : ใช่ อย่างที่บอก ฝรั่งชอบแบบนี้ มันคือสเป็ก บางคนเป็นเกรียนคีย์บอร์ด
เคยปรึกษากันเรื่องนี้ไหม ?
จอย : อย่างล่าสุดเขาบอกว่าทำไมเราไม่เรียนภาษาอังกฤษ ทำไมไม่ให้ปีเตอร์สอน เขาก็ว่าเราว่าโง่ พูดไม่ได้ เราก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจ
ให้กำลังใจกันยังไงบ้าง ?
ปีเตอร์ : พยายามสะกิดเขาบอกคุณรอดมาเยอะแล้ว ไม่ต้องสนใจคนอื่น เขามีคนที่รักดูแลอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกเขาอาจจะแย่หน่อย
ฝากถึงคนที่มาบูลลี่ ?
จอย : ไม่รู้จะบอกอะไรเขาดี ถึงบอกไปเขาก็ทำอยู่ดี อยากให้คิดก่อนพูด ดูความจริงก่อน
ปีเตอร์ : เช่นกัน จริงๆ แล้วคิดว่าเป็นคำพูดที่เอ่ยออกไป แต่เราควรระมัดระวังมันเหมือนอาวุธ อย่าพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง