'ริว อาทิตย์' อดีตค่าตัวสูง เล่นละคร 1 เรื่อง ซื้อรถได้ 1 คัน เผยสาเหตุหมดตัว

เปิดใจ "ริว อาทิตย์" อดีตพระเอก ที่เคยโด่งดัง เมื่อ 30 ปีที่แล้ว หลังมีการนำเสนอข่าว ชีวิตตกอับ ไร้เงิน ไร้บ้าน ไร้ครอบครัว กินนอนข้างถนน บางครั้งต้องอาศัยอาบน้ำตามปั๊ม โดยล่าสุดเจ้าตัวเปิดใจกับ "คมชัดลึก" บอกว่าหลังจากที่เป็นข่าวออกไป เพิ่งกลับไปถ่ายรายการ ที่อาร์เอส บ้านเก่ามา "ได้ไปอาร์เอสเหมือนได้อยู่ในบรรยากาศที่คุ้นเคย พี่ๆน้องๆ คนเก่าๆที่เคยทำงานด้วยกันก็มาทักทาย บางคนก็ยังทำงานอยู่ที่นั่น ทุกคนยังเป็นห่วง และปราถนาดี พอรู้ข่าวว่าผมมา ก็ลงมาทักทาย ความรู้สึกเหมือนเราได้อยู่บ้าน ก็เป็นการกลับบ้านในรอบ เกือบ 20 ปี กับ "เฮียฮ้อ" ไม่ได้เจอครับ ถามว่าทำให้มีกำลังใจอยากกลับมาทำงานในวงการไหม ไม่ว่าจะมีงานอะไร ผมก็ยังคงทุ่มเทเหมือนเดิม และจะใช้ความสามารถที่เคยได้ทำงานด้านนี้มา จะทำให้ดีที่สุด ถ้าหากมีโอกาส 

ซึ่งงานที่เข้ามาตอนนี้ ก็เป็นงานสัมภาษณ์ออกรายการต่างๆ หลายคนอยากให้ผมออกไปคลี่คลาย ในประเด็นที่หลายคนสงสัย ถามว่าสบายใจขึ้นไหม ผมมองว่ายังไม่จบไม่สิ้น เพราะกระแส ความคิดคนยังไปเรื่อยๆ ยิ่งทุกวันนี้ สื่อโซเชียลต่างๆไปไกลมาก แต่เราไปตามความคิดใครไม่ได้ เราเลยขอให้สัมภาษณ์เฉพาะสื่อหลักเท่านั้น 

 

(ได้รับผลกระทบอะไรบ้าง?) ตอนนี้ต้องระวังคำพูด จะพูดไม่ระวังไม่ได้ เราจะไม่พูดด้วยอารมณ์ เพราะอาจไปกระทบจิตใจคนอื่น จะมานั่งแก้ทุกประเด็นไม่ได้ อย่างเรื่องครอบครัว ก็ขออนุญาตไม่พูดถึงเยอะ เพราะกลัวว่าจะได้รับผลกระทบอีก คือผมก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะตัวผมปกติไม่ได้เล่นโซเชียล ช่วงหนึ่งถึงหนีไปใช้ชีวิตส่วนตัว อยู่เงียบๆ แต่พอได้กลับเข้ามาอีกครั้ง ในวันที่ทุกคนพร้อมช่วย อยากให้ใช้สติเป็นริวคนเดิม ดูแลตัวเองดีๆ ผมก็เลยต้องตั้งหลักใหม่ เพราะการเข้ามาในวงการไม่ได้เข้ามาง่ายๆ การเจอสื่อเจอข่าวก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เราต้องใช้สติ

สมัยนั้นดังขนาดไหน ตอนนั้นทั้งปีได้หยุดกี่วันดีกว่า ทำงานตลอด และก็นอน แทบไม่มีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว ถ่ายละครเสร็จก็นอน เวลาส่วนตัวนับเป็นชั่วโมง ปีหนึ่งได้เป็นตัวเองกี่ชั่วโมง เมื่อก่อนเวลาส่วนตัว คือตอนขี้ (หัวเราะ) คุ้มไหมกับชื่อเสียงเงินทองที่ได้มา คือไม่รู้ว่าจะยังไง เพราะทุกอย่างมันมีคนให้ความสนใจ ทำอะไรก็ต้องระวัง เช่น แฟนคลับผู้หญิงก็ต้องระวัง เพราะอาจมีคนที่ทำให้เราเสียชื่อเสียง มีคนเที่ยวหา ทำให้เราต้องระวัง ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องส่วนตัว บริษัทจะดูแลเราทุกเรื่อง หัวจรดเท้า น้ำหนัก การพักผ่อน เวลาต่างๆ คือไม่ได้อึดอัดไหม แค่เวลาส่วนตัวมันไม่มีเลย 

 

(รายได้ตอนนั้นพีกสุดเท่าไหร่?) ตอนนั้นเดือนหนึ่งน่าจะประมาณ คือรายได้ผมไม่ได้เยอะเท่าดาราโชว์ตัว เพราะผมไม่รับโชว์ตัว เพราะเราเป็นพระเอกเบอร์ 1 ทำงานเสร็จกลับบ้าน ไม่ออกข้างนอกเยอะ มันเปลืองตัว สมัยนั้นเรียกว่าช้ำ เดี๋ยวคนเบื่อ ต้องนานๆออกไปโผล่ที นั่นคืองานผม อย่างเล่นละครเรื่องหนึ่ง ตีไปได้รถ 1 คัน ก็เล่นละครทีก็เปลี่ยนรถที ตอนนั้นเปลี่ยนรถเรื่อยๆเลย ตอนนั้นความสุขผมไม่ค่อยมี รถคือความสุขของผม ผมก็เลยคิดแค่นั้น เหมือนเรามีความสุขเล็กๆแคบๆ

(ตอนนั้นดังมากแล้วเงินไปไหนหมด?) มันก็มีเหตุที่ทำให้หมดไป ผมเฟลเองที่มองโลกสวยงาม เพราะสัมผัสโลกภายนอกน้อยมาก แบบคิดว่าถ้ามีลูกกับคนนี้ จะซื้อบ้าน เลี้ยงหมา เลี้ยงปลา ทำงานกลับบ้าน แต่ลืมคิดว่าเรายังมีชื่อเสียงจะทำแบบนั้นได้ไง จนวางแผนออกจากวงการ ทิ้งชื่อเสียงเงินทอง มันเป็นจังหวะชีวิตไม่ได้เป็นเหมือนที่เราจินตนาการ มองโลกในแง่ดี คิดบวก โลกสวย เหมือนพระที่เพิ่งออกจากวัด 

 

พอเจอความเป็นจริง ที่ต้องเผชิญเอง มึงจะเอาหน้าตามาขายไม่ได้ มึงต้องคิดว่าจะทำอะไร จะเอาอะไรมาขาย แม่งต้องขายเท่าไหร่ กว่าจะได้เท่าค่าตัว ก็เลยคิดจากสิ่งที่ชอบที่สุด ก็เลยมาทำร้านเหล้า เปิดร้านเหล้า ชอบเล่นพูล ดนตรี กาแฟ ล้างรถ ก็ใส่เข้าไป จนร้านมีทุกอย่างที่เราชอบ ตอนนั้นมีหุ้นส่วนมานั่งทุกวันตอนนั้นมีความสุขมาก (แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?) ก็พอเรามีความสุขมากเกินไป เมายันเช้า นั่งไม่เลิก มีความสุข เหล้าดื่มฟรี กี่ขวดก็ได้เหล้ากู แต่กำไรอยู่ตรงนั้น ใครมาถูกใจให้ฟรี อยู่อย่างนั้น จนไปหมด

เรื่องงานในวงการ หากมีโอกาสอยากได้งานที่เรามีเวลาได้ดูแลคนที่เรารัก ไม่ใช่อยู่กองถ่ายทั้งวันแบบสมัยก่อน พอเราห่างจากครอบครัว คนที่เราแคร์ โดยที่คนข้างหลังรออยู่ ไม่อยากให้เขาโทร.ถามว่าจะกลับหรือยัง คือเข้าใจคนที่รอคอยมันเศร้า เราเลยอยากทำงาน และมีเวลาให้คนที่เรารักด้วย (ถ้ามีโอกาสอยากทำอะไรในวงการ?) อยากไปถ่ายรายการอะไรก็ได้ ที่เรามีความสุข อย่างรายการไปเที่ยว

 

อย่างเมื่อวาน "นิกกี้" พาไปถ่ายรีวิวรถยนต์ปี 90 คือไปในทิศทางที่เราชอบ ไม่อยากทำอะไรที่เราฝืน ถ้าละครอยากเล่นบทไหนไหม ผมก็อายุ 45 ปี จะเล่นคอซองไม่ได้แล้ว ก็ต้องหาความเหมาะสม จะเล่นเป็นมาเฟียไหม คนอาจติดภาพเราเกเรๆ ไม่กลัวใคร หยิ่งๆ คือมันก็มาจากคาแร็คเตอร์ เพราะตอนนั้นเขาให้เราเล่นเป็นตัวเอง ซึ่งผมเองก็ติดบุคคลิกนั้นมาเรื่อยๆ แค่ผมอายุมากขึ้นเลยมีรอยหย่น ตีนกา (หัวเราะ) ซึ่งจริงๆผมเป็นคนโครตขี้เล่น นอบน้อม มีไมตรี หลังจากนี้ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปขายของเหมือนเดิม"