"บิวกิ้น พุฒิพงศ์"เตรียมตัว ใช้ชีวิตต่างประเทศ ไขความรู้สึกต่อ "พีพี"
เปิดใจแบบหมดเปลือก ไขความเป็น "บิวกิ้น พุฒิพงศ์" ให้ทุกคนรู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องบทบาทในฐานะผู้บริหาร และเรื่องส่วนตัว พร้อมกล่าวถึง"พีพี กฤษฎ์" กับแพลนชีวิตที่เดินหน้าไปอยู่ต่างประเทศ
"บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล" อีกหนึ่งศิลปินและนักแสดงมากความสามารถที่เดินหน้าสานฝันของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทุกรางวัลที่ "บิวกิ้น" ได้รับมานั่นคือการแสดงถึงศักยภาพของหนุ่มคนนี้ รางวัลจากเวทีคมชัดลึกอออร์ด ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เรียกว่าเป็นเอกฉันท์ทั้งด้านความนิยม และคุณภาพ(ยอดเยี่ยม)
ต้องยอมรับว่า "บิวกิ้น" แจ้งเกิดจากนักแสดงซีรีส์วาย และเดินสู่บทบาทในฐานะผู้บริหาร Billkin Entertainment ในวัย 23 ปี ล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดใจเล่าถึงรักครั้งแรกกับมิติความรักที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ยอมรับเป็นคนคลั่งรัก ตอบชัดความสัมพันธ์แบบ "พีพี กฤษฎ์" พร้อมกับแพลนชีวิตที่เดินหน้าไปอยู่ต่างประเทศ ในรายการ WOODY FM
เรื่องไหนที่คิดว่าอยากจะคุย แต่ยังไม่เคยได้มีโอกาสคุย ?
ส่วนใหญ่เวลาผมอยู่คนเดียว ผมจะเป็นคนที่หยุดคิดไม่ได้ ยิ่งมีเวลาเยอะเราจะยิ่งคิดไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่เราอยู่คนเดียวก็จะเริ่มคิดว่าพรุ่งนี้เราจะต้องไปทำอะไร จะต้องแพลนยังไง ถ้ามีเวลาว่างวันหนึ่งก็จะเริ่มแพลนไปถึง 3 - 5 ปี มองเป็นไอเดียว่าเราอยากจะทำอะไรบ้าง ช่วงนี้ผมมีแพลนจะไปเรียนต่ออะไรแบบนี้ครับ ก็นั่งคิดว่าช่วงที่ไปเรียนต่อจะจัดการเรื่องทำงานของเราตรงนี้ยังไง
จะไปเรียนที่ไหนครับ ?
เรียนปริญญาโทที่อังกฤษครับ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องการจะไปเรียน แต่ผมอยากไปใช้ชีวิตมากกว่า
นโยบาย CEO ของ Billkin Entertainment อนุญาติให้ศิลปินพูดถึงเรื่องความรักมากน้อยขนาดไหน ?
(หัวเราะ) ผมไม่บังคับดีกว่า แต่ละคนเขาก็มีสิทธิ์ที่อยากจะเป็น อยากจะทำหรืออยากจะพูดหรือไม่อยากจะพูด ผมรู้สึกว่าถ้าเขาอยากจะพูดเราไม่ได้มีสิทธิ์จะไปห้ามครับ
อยากรู้ว่ามิติความรักของ "บิวกิ้น" เป็นยังไง ?
ความรักสำหรับผมรู้สึกว่ามันคือความสุข การที่เราจะรักใครสักคน เราต้องมีความสุขที่จะได้ทำ แล้วมันก็ส่งความสุขกลับมาให้เรา ผมไม่ค่อยเชื่อในเรื่องของรักที่มันทุกข์ ผมรู้สึกว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นเราอย่ามีดีกว่า ความรักทุกรูปแบบ ครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก เราต้องหาจุดที่สุดท้ายแล้ว เราต่างมีความสุขแล้วก็สบายใจในการที่จะอยู่กับความสัมพันธ์นั้นๆ
เวลาที่เป็นทุกข์มันเป็นยังไง ?
ผมว่าเหมือนกับการที่มันไม่เข้ากัน ทุกๆ คนจะมีวิธีการ มีแนวคิด มีมุมมองของตัวเองที่มันไม่เหมือนกัน ความรักของผมมันคือการซัพพอร์ตทุกๆ คน โดยไม่ได้เอาทัศนคติของเราไปวางอยู่บนตัวเขา ให้เขาทำในแบบของเขา แล้วเขาจะได้ภูมิใจในสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาทำจริงๆ
รักครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่ ?
ม.3 ครับ อายุประมาณ 15 ครับ ตอนเราเด็กๆ ก็จะรู้สึกว่าความรักคือการครอบครอง เธอเป็นของฉัน ฉันเป็นของเธอ เราต่างครอบครองกันและกัน แล้วก็จะยึดติดกับค่านิยมบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี
ตอนเด็ก ๆ หึงไหมครับ ?
สุดๆ ครับ ช่วงนั้นมันอาจจะเป็น Puppy Love ด้วย เป็นครั้งแรกเรื่องของการคุย ไปไหน มีเพื่อนผู้ชาย เราก็จะบล็อกทุกทาง ควบคุมสุดๆ แต่เขาก็ควบคุมเราเหมือนกันนะ (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วมันก็จะเดินไปถึงจุดที่บีบมากๆ สุดท้ายมันก็จะแตกหัก ต้องแยกออกจากกัน
แต่ในวันนี้รูปแบบนั้นมันไม่มีแล้ว ?
ผมว่ามันเป็นเส้นของการให้เกียรติมากว่า ถ้ามันเป็นคนที่ใช่และเป็นคนที่พอดีกับเรา สุดท้ายแล้วเราต่างคนต่างจะตีกรอบของตัวเองเพื่ออีกคนหนึ่ง โดยที่ใช้เซ้นส์หรือวิจารณญาณของตัวเราเองอยู่แล้ว มันผ่านการให้เกียรติหรือการระลึกถึงคนอีกคนหนึ่งอยู่
คุณคลั่งรักไหม หรือเป็น Level ไหน ?
ก็น่าจะคลั่งอยู่นะครับ (ยิ้ม) เรารู้สึกว่าความรักมันผลักดันความใกล้ชิด หมายถึงว่าไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในความสัมพันธ์นะ กับที่บ้านของผม ก่อนนอนกลับไปหาที่บ้านก็ต้องไปกอด ปะป๊า หม่าม้า หอมแก้ม กู้ดไนท์กันตลอด โดยที่ทุกคนก็จะทำมันด้วยความเอนจอยเป็นปกติ
คุณดังมาจาก "ซีรี่ส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ" ซึ่งมิตินั้นก็จะเป็น LGBTQ เฉดสีของความรักมันไม่ได้จำกัดเพศบิวกิ้นมองเรื่องนี้ยังไงบ้าง ?
ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้คนเรา 100 คน ก็ไม่เหมือนกันสักคน ทั้งเรื่องของตัวตนความชอบสิ่งที่เราเป็น ทุกวันนี้มันไม่มีเส้นของคำว่าถูกผิดหรือว่าค่านิยมแล้ว มันอาจจะมีเส้นของการให้เกียรติผู้อื่น หรือว่าเส้นของกฎหมายต่างๆ ที่เราอาจจะต้องใช้อยู่ร่วมกัน แต่หมายถึงเรื่องของเทสความชอบหรืออะไรต่างๆ
ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ฟรีด้อมมากในการที่เราจะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรไม่ทำอะไร แค่ระลึกไว้ว่าเราทำสิ่งนี้โดยที่ไม่ได้ไปล้ำเส้นของคนอื่นก็พอ หมายถึงว่าเราจะชอบอะไรทำอะไร เราจะเป็นอะไรก็ได้ ที่เราภูมิใจที่จะเป็นแล้วมีความสุขที่จะทำจริงๆ มันหมดเวลาที่จะมาบอกว่าอันนั้นถูกอันนี้ผิด ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะมาตีเส้นให้กับสังคมทำไม ปล่อยให้ทุกๆ คนได้เป็นตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่รัก
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณและ "พีพี" ในตอนนี้เป็นแบบไหน ?
ในความสัมพันธ์แบบพีพีสำหรับผม ผมมีพีพีคนเดียว คนที่เข้าใจเรา และผ่านการเดินทางที่มันพิเศษมากขนาดนี้ ผมรู้จักพีพีตั้งแต่ผมอายุ 16 เจอกันในที่เรียนพิเศษ แปลกมากผมกับ "พีพี"สนิทกันเร็วมากในระยะเวลาเดือนเดียว เราสนิทกันเหมือนเป็นเพื่อนสนิท เรามีโอกาสได้เข้านาดาว ได้เข้ามาเล่นซีรีส์ หรือช่วงที่เขาทำ Artist Development เราก็จะเป็นคนที่อยู่ในเจเนอเรชั่นเดียวกัน มีโอกาสได้ทำอะไรไปพร้อมๆ กันตลอด มันเลยทำให้เหมือนกับว่าสำหรับผม ทั้งตัวเราในพาร์ทของคนๆ หนึ่ง กับในพาร์ทของการทำงานตรงนี้ บวกกับตัวเราฐานะของคนมากกว่าเป็นแค่เพื่อน
หมายถึงเขาเข้าใจสิ่งที่เราคิด เข้าใจมุมมองของเรา เหมือนเพื่อนคู่คิดของเรา เขาสนิทกับที่บ้านผมมากๆ จนปะป๊าผมบอกว่าเขาเป็นเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง ความสัมพันธ์แบบนี้มีเขาคนเดียวที่ดูบังเอิญไปหมด อยู่ใกล้กันมากสนิทกันมาก เข้าใจเราไปหมด แล้วเราก็ร่วมเดินทางเติบโตมาตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงวันนี้ ทำงานร่วมกัน มีอะไรเราก็ปรึกษากัน คิดถึงกัน คิดเผื่อกันตลอด
เวลาคู่กันแฟนคลับชอบมาก จิ้นมากๆ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณต้องมีแฟนขึ้นมา เคยคิดไหมว่าความรู้สึกของคนที่เขาจับคู่ให้ไปแล้วจะยังไง ?
ในแฟนคลับแต่ละคนผมว่าเขาก็จะมีความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งแฟนคลับที่เขาชอบเรา ที่เขาชอบพีพี แล้วก็จะมีแฟนคลับที่ชอบ 2 คนอยู่ด้วยกันแยกกันไม่ได้ หรือชอบเรากับพีพีทั้งคู่แต่เคารพเราในฐานะของการเป็นแต่ละคนของทั้งคู่ แยกกันก็ไม่เป็นไรยังซัพพอร์ตทั้งคู่อยู่ มันมีหลายมิติมากๆ เลยครับ ผมว่าเราทุกวันนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ในทุกการเดินทางของเราจะมีคนที่สมหวังและผิดหวังเสมอ เพราะความคาดหวังมันหลากหลายมาก เราเคยเป็นคนที่เสพฟีดแบคมากๆ รู้สึกว่าจะทำยังไงดีให้คนที่รักเรา ซัพพอร์ตเราไม่ผิดหวัง ไม่ชอบทำให้ใครเสียใจหรือผิดหวัง พอเดินทางไปถึงจุดๆ หนึ่งที่เราเป็นวันนี้เราถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วมองภาพกว้าง รู้สึกว่าการเป็นบุคคลสาธารณะในวันนี้เวลามีคนคาดหวัง ไม่ว่าเราจะทำอะไรจะมีคนที่ใช่เลยกับคนที่ผิดหวังจังอยู่เสมอ
ผมเลยรู้สึกว่าเราถอยกลับมาดูตัวเราเองดีกว่าความรู้สึกของเราเองจริงๆ จะใช้ชีวิตอยู่กับการคาดหวังกับคนอื่นไปได้อีกเท่าไหร่ รู้สึกว่าในวันนี้เราก็จะทำความเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้น ว่าสุดท้ายแล้วการที่เราจะเลือกทำอะไร เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เราเลือก และเป็นสิ่งที่เราเป็นจริงๆ ลดความคาดหวังลง ทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้น ทำตามหัวใจมากขึ้นครับ
คอมเมนต์หรือว่าโพสต์แบบไหนที่มันเศร้าใจสำหรับคุณ ?
ก็จะมีมาเรื่อยๆ ตลอด บางคนจะเรียกว่า Anti-fan จะเห็นทุกความเคลื่อนไหวของเราเลย คอยปล่อยข่าวปลอม มองหาช่องโจมตีอยู่ตลอดเวลา ผมว่ามันบั่นทอนมากกว่า บางครั้งการที่เราเลือกทำอะไรแล้วทำให้คนกลุ่มหนึ่งผิดหวังสุดท้ายผมรู้สึกว่าถ้าเราเคารพกัน ถ้าไม่ชอบคุณโอเคก็จะเดินจากไป แต่ก็จะมีคนบางกลุ่มที่พอไม่ถูกใจเขาเลือกที่จะด่าเรา โจมตีเรา ถึงบอกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา 3-4 ปีของผม สิ่งที่มันเจ็บปวดที่สุด คือการที่เราทำให้เขามีความคาดหวังต่อเรา แล้วเราไปทำให้เขาผิดหวัง สิ่งที่เสียใจที่สุด ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด คือการที่ทำให้คนอื่นเสียใจ ผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกนี้เท่าไหร่
ร้องไห้ล่าสุดเมื่อไหร่ ?
เดือนที่แล้ว ตอนนั้นไปทำงานในงานหนึ่งครับ เราตั้งใจมากๆ เป็นงานที่เราไม่เคยทำมาก่อน แล้วเป็นความฝันของเรา อยากจะทำมันให้ได้มากๆ พอเข้าไปทำแล้วเดินออกมาจากห้อง เรารู้สึกว่าเฟลมาก เพราะรู้สึกว่าทำมันไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเราทำมันไม่ได้ กลับบ้านไปร้องไห้ เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในหัวตลอดเวลา 2 อาทิตย์ ตั้งแต่ตื่นยันนอนจะคิดถึงแต่เรื่องนี้ แต่โชคดีมากที่เราได้มีโอกาสกลับไปทำมันอีกครั้งหนึ่ง พอทำออกมาก็ดีใจที่เราได้ทำอย่างเต็มที่ ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันได้ไหมนะ แต่ถ้าถามใจเราในวันนั้นที่ได้กลับไปทำอีกครั้งรู้สึกว่าไม่คาใจแล้ว