
ลัดดาแลนด์
ภายใต้โฉมหน้าภาพลักษณ์อันชวนหวาดผวาในฐานะหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่ง ลัดดาแลนด์ ยังเป็นหนังครอบครัวที่แฝงเร้นจนกระทั่งส่งเสียงวิพากษ์สังคมไทยร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในเวลานี้
...ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราต่างตกหล่นอยู่ท่ามกลางกระแสสังคมบริโภคนิยม หลายคนลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับวัตถุนิยม และตกเป็นเหยื่อของระบอบทุนนิยมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หนุ่มใหญ่ที่ชื่อ ‘ธีร์’ ก็เช่นกัน เขาหอบครอบครัวจากกรุงเทพฯขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ด้วยเหตุเพราะๆ ได้งานใหม่ในตำแหน่งระดับผู้จัดการของบริษัทแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจสินค้าขายตรง ที่ได้ทั้งเงินเดือนและค่าคอมมิชชั่น รวมแล้วเหยียบแสน จนสามารถเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวทำเลดีในหมู่บ้านจัดสรรที่ชื่อ ‘ลัดดาแลนด์’ ได้สำเร็จ...
ครอบครัวของ ‘ธีร์’ ดูจะมีความสุขไม่ว่าจะเป็น ‘ป่าน’ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ‘นัท’ ลูกชายตัวน้อย ยกเว้นก็เพียง ‘แนน’ บุตรสาวคนโตผู้มีท่าทีมึนตึงกับพ่ออยู่ตลอดเวลา...และแล้วสายใยบางๆ ระหว่างพ่อ-ลูกคู่นี้ก็ขาดผึงในทันทีเมื่อ ‘ธีร์’ ฉุดกระชากลากถูลูกสาวเข้าไปในบ้านร้างกลางดึก หลังจากที่เธอใช้อ้างเป็นเหตุผลในการกลับบ้านดึกเพราะถูกผีสาวใช้ในบ้านหลังดังกล่าวหลอกหลอนเมื่อคราวที่แอบปีนเข้าไปซุกซนตามความห่ามห้าวของเพื่อนๆ
กิตติศัพท์คำร่ำลือของ ‘บ้านผีสิง’ ขจรขจายไปทั่วลัดดาแลนด์ หนำซ้ำยังมีการ ‘ฆ่ายกครัว’ ตามมาติดๆ จนคนในหมู่บ้านทะยอยโยกย้ายหนีกันไปจนเกือบจะกลายเป็นหมู่บ้านร้าง แต่อย่างน้อยยังมี ‘ธีร์’ ที่มั่นคงและไม่ยอมโยกย้ายไปไหนเพราะนี่คือที่พำนักพักพิงแห่งสุดท้ายในชีวิตของเขา
แม้นภรรยาจะเอ่ยปากร้องขอเพราะประสบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ รวมทั้ง ‘แนน’ ที่ขนข้าวของออกไปอยู่หอพักกับเพื่อน หนำซ้ำหน้าที่การงานของ ‘ธีร์’ ก็ไม่เป็นไปดั่งหวัง ปัญหานานาประการโถมทับ ทั้งงานและครอบครัว รวมทั้ง ‘ผี’ ที่ตามหลอกหลอน (ส่วนหนึ่งมาจากตัวเขาที่พาตัวเอง ‘รนหาที่’ ก็ตาม)
หนังไม่น่ากลัวด้วยการตามหลอนหลอกของเหล่าบรรดาผีที่ ‘สิงสถิต’ อยู่ในบ้านที่ชีวิตของตนจบสิ้นลง (ไม่ว่าจะถูกฆาตกรรมหรืออัตวินิบาตกรรมเองก็ตาม) หากแต่ความรู้สึกขนพองสยองเกล้าที่บังเกิดกับผู้ชม มาจากบรรยากาศลุ้นระทึก เมื่อตัวละครของพวกเขาตกอยู่ในสถานที่ ที่ทั้ง ‘ธีร์’ ‘แนน’ ‘นัท’ หรือแม้กระทั่ง ‘ป่าน’ ทั้ง ‘จงใจ’ หรือ ‘พลัดหลง’ เข้าไปในบ้านที่ผี ‘เฮี้ยน’ วิญญาณ ‘หลอน’ ฝังแรงแค้นในผู้คนและ ‘โชคชะตา’ เวียนว่าย ล่องลอยอยู่ในบ้านโดยไร้ที่ไป
อย่างที่บอกไปว่า อีกหนึ่งบทบาทของ “ลัดดาแลนด์” คือการตะโกนบริภาษสังคมไทยร่วมสมัย ผ่านตัวละครอย่าง ‘ป่าน’ เพราะสุดท้ายสามีของเธอก็ตกเป็นเหยื่อของนายทุน หรือกระทั่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่เมื่อถึงเวลาก็พร้อมจะเอาตัวรอดโดยไม่เห็นแก่ความถูกต้องชั่วดี แน่นอนว่า ‘ธีร์’ เอง ก็ตกอยู่ในภาวะวัตถุนิยม (ทั้ง ‘บ้าน’ ‘รถ’ หรือ ‘เงินเดือน’ ที่สูงลิ่ว อันตามมาด้วย ข้าวของเครื่องใช้ฟุ่มเฟือยในบ้านอีกมากมายทั้ง ทีวี ส่วนตัวในห้องลูกสาว และ เครื่องปรับอากาศที่มากด้วยเทคโลยีทันสมัย ฯ) จนหลงลืมความรู้สึกลูกเมียที่ตกอยู่ในความหวาดกลัว จริงอยู่ที่ ‘ธีร์’ อาจจะพลัดหลงอยู่ท่ามกลางกระสังคมบริโภคนิยม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มาจาก ‘มายาคติ’ ที่แม่ยาย รวมถึงคนในสังคมมักปลูกฝังต่อๆ กันมาว่า ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม ต้องมีบ้านหลังใหญ่ๆ รถคันโตๆ และเครื่องอำนวยความสะดวกสบายมากมายประดามี ที่ ‘หัวหน้าครอบครัว’ ต้องสรรหามาประเคน ตามประสาคนมีเงิน หรือคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ชนชั้นกลาง’ พึงมีพึงไขว่คว้าหามาประดับบารมีให้ได้ โดยหลงลืมไปว่ารากฐานสำคัญของชีวิตคือความเป็นครอบครัวที่รัก ห่วงใย ดูแลกันและกัน อันนำมาซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ‘แนน’ เหินห่างจากพ่อ ก็เพราะ ‘ธีร์’ มุ่งแต่ทำงานหาเงิน ปล่อยลูกให้อยู่ในความดูแลของแม่ยายเพียงลำพัง กลายเป็นช่องว่าง รูโหว่ที่ทำให้ครอบครัวของเขาไม่สมบูรณ์เพราะขาดเวลาในการเอาใจใส่ดูแลกันและกัน
ถึงแม้สุดท้าย ‘ธีร์’ จะไม่สามารถปล่อยวางวัตถุที่เขามุ่งมาดครอบครองเป็นเจ้าของ และบ้านใน ‘ลัดดาแลนด์’ แทบจะไม่มีคนอยู่หลงเหลือเลยก็ตาม แต่เขาก็ยังดื้อด้านและดึงดัน ให้ลูก-เมีย อาศัยอยู่ต่อไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและหัวจิตหัวใจของผู้อาศัยเลยก็ตาม (แต่นั่นก็เพราะความรักในครอบครัวของเขา)
ไม่เพียงการจำลองภาพค่านิยมของสังคมไทยผ่านตัวละครอย่าง ‘ธีร์’ เท่านั้น ครอบครัวเพื่อนบ้านอย่าง ‘พี่สมเกียรติ’ ก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นตกอยู่ในวังวนเดียวกัน แม้จะมีบ้านหลังใหญ่โตหรูหรา แต่ก็แลกมาด้วยการทำงานเย็บจักรหามรุ่งหามค่ำของแม่บ้าน ความเครียดจากการทำงานหนักจนดูมีปัญหาทางจิตของผู้เป็นเสาหลักครอบครัว ก็ดูเหมือนจะเป็นการสะท้อนค่านิยมพิกลพิการของสังคมไทย ที่หลงลืมรากเหง้าความดีงามในการชีวิตอย่างพอเพียง และมีความสุขตามอัตภาพมากกว่า ข้าวของเงินทองเครื่องอำนวยความสะดวกนานาประการ ซึ่งอาจนำมาด้วยความสบายทางกาย หากแต่จิตใจกลับร้อนรุ่มเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตา ‘หาเงิน’ แต่กลับไม่เคยเงยหน้ามาเจียดเวลานั่งพูดคุย ใส่ใจความรู้สึกกัน
ทุกวันนี้มีคนมากมายในสังคมไทย ที่เป็นเหมือน ‘ธีร์’ ซึ่งไม่เพียงต้องทำงานอย่างหนักแล้ว ยังถูกท้าทายด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อลมๆแล้งๆ จากโฆษณาขายตรง ที่ออกมาเป่าหู โน้มน้าวทุกวิถีทาง เพื่อมอมเมาให้เราหลงงมงายอยู่กับการขายสินค้าหรือบริการที่แลกมาด้วยค่าตอบแทนมหาศาล (การขายตรงทุกวันนี้ แปรเปลี่ยนมาในรูปแบบของสแปมเมล ที่ชักชวนให้ผู้คนหารายได้พิเศษด้วยการทำงานทางอินเทอร์เน็ตด้วยการโฆษณาว่า ‘ทำงานน้อย รายได้งาม’) และสุดท้ายหนังก็ไม่ประนีประนอมต่อคนดู ไม่จบแบบเอาใจตลาด (ซึ่งก็ดีแล้ว) แต่ก็ไม่ถึงกับทำร้ายจิตใจคนดู โดยให้บทเรียนแก่ตัวละคร อันสะท้อนมาถึงผู้คนที่เราพบเห็นได้ทั่วไป คนที่อยู่ห้อมล้อมรอบตัวเรา และบางครั้งก็อาจเป็นเรานั่นแหละ คนที่หลงงมงายอยู่กับวัตถุ ติดอยู่เปลือกที่ไม่อาจสลัดให้หลุดพ้น ‘ผี’ ในลัดดาแลนด์ หาใช่วิญญาณที่ยึดติดอยู่กับการหลอกหลอนแก้แค้น หากแต่เป็น ‘คน’ ที่สูญสิ้นจิตวิญญาณในฐานะมนุษย์ผู้ติดอยู่ในบ่วงแร้วของ ‘วัตถุ’ และพยายามพิสูจน์ตัวเองแต่ไม่เคยสำเร็จ
ชื่อเรื่อง : ลัดดาแลนด์
ผู้เขียนบท-กำกับ : โสภณ ศักดาพิสิษฐ์
นักแสดง : สหรัถ สังคปรีชา, ปิยะธิดา วรมุสิก, สุทัตตา อุดมศิลป์, อธิพิชญ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย <http://www.nangdee.com/name/f/p10939.html>
เรตติ้ง : น.18+ ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ชมอายุ 18 ปีขึ้นไป
วันที่เข้าฉาย : 28 เมษายน
"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"