บันเทิง

5 เหตุผลที่น่าดู
Morning Glory

5 เหตุผลที่น่าดู Morning Glory

01 เม.ย. 2554

ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า วันที่ นสพ. "คมชัดลึก” ฉบับนี้วางแผงตั้ง “กรอบบ่าย” ของวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคมนั้น หนังที่ฉายตามโรงจะมีเพียงเรื่องเดียวชื่อ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ 3 หรือเปล่าเพราะถ้าเป็นอย่างนั้น นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่หนังน่าดูบางเรื่อง จะต้องล

 หนึ่งในหนัง “น่าดู” เรื่องหนึ่งที่ขอแนะนำก็คือ Morning Glory ซึ่งผมเองได้แนะนำจริงจังไปครั้งหนึ่งแล้วใน “นสพ.กรุงเทพธุรกิจ” ช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่อาจจะเพราะตัวหนังไม่มีแต้มต่อเลย หน้าหนังไม่ขาย นักแสดงเป็นรุ่นเก่า แถมเนื้อหายังเป็นเรื่องเฉพาะของคนในวงการข่าวทีวี มันเลยทำให้ตัวหนังจึงดูเงียบเชียบ
ซึ่งบ่อยครั้งไปนะครับ ที่หนังที่ว่าดูเงียบๆ นั้น พอไปดูแล้วก็รู้สึกดีที่ได้ดูนี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ว่า ทำไม Morning Glory จึงเป็นหนังน่าดูในสุดสัปดาห์นี้

 1. แฉเบื้องหลังคนทำข่าวทีวี
 ถึงแต่ละปีจะมีหนังราวๆ 200-300 เรื่องออกมาฉายในโรง แต่มีน้อยมาก
จนถึงขั้นเกือบไม่มีที่จะพูดเรื่องวัฒนธรรมคนข่าว และหลายครั้งเท่าที่เคยดู ตัวนักข่าวก็ถูกนำไปรับใช้พล็อตเรื่องอันว่าด้วยเหตุการณ์ทางสังคมเช่นโรงงานยาสูบใน The Insider หรือตำราข่าวอย่าง All The President’s Men ที่เจาะข่าวคดี “วอเตอร์เกต”ปี 1972สำหรับ Morning Glory แตกต่างออกไปที่หันกลับไปหลังจอ มุดเข้าไปในสตูดิโอข่าว และทำให้เราเห็นว่าไอ้เบื้องหน้าคนทำงานข่าวทีวีที่ดูสวยงาม น่าประกอบอาชีพนั้น แท้จริงแล้วทุกที่มันก็มีมุมที่วุ่นวาย และไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นทั้งนั้น ความสำคัญอยู่ที่ว่า แต่ละแห่งนั้น จะจัดการอย่างไร

 2. ข่าวก็คือ “ธุรกิจ” จะรับได้ไหม
 ถึงไม่เขียนประโยคนี้ ผมคิดว่าผู้อ่านหนังสือพิมพ์หรือคนดูทีวีก็ทราบนานแล้วว่า ข่าวนั้นส่วนหนึ่งก็คือธุรกิจ ในโลกที่อะไรๆ มันก็คือการตลาดมาแสนนานแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่เป็นสินค้าสำคัญในหนัง แถมยังเป็นเงื่อนไขที่เรามองเห็นจากตัวละครก็คือ การหาเรตติ้งเพื่อให้รายการอยู่ได้เวลาผมไปสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัย และโดยเฉพาะเด็กนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ ผมก็จะบอกนักศึกษาเสมอว่า ถ้าอยากจะเข้ามาในแวดวงข่าว คุณก็ต้องทำใจด้วยว่า มันต้องเป็นธุรกิจไปอย่างช่วยไม่ได้ อยู่ครึ่งหนึ่งแนวคิดนี้ ยืนยันได้จากการดูหนังเรื่องนี้

 3. งานของผู้กำกับ Notting Hill
 นี่เป็นหนังของ โรเจอร์ มิเชลล์ ที่ถ้าพูดชื่อนี้คุณอาจจะงงอยู่บ้าง เอาใหม่แล้วกัลล์ นี่คืองานของผู้กำกับหนังอย่าง Notting Hill ปี 1999 หนังรักที่ว่ากันว่าทุกวันนี้ ก็ไม่มีเรื่องไหนไปเทียบเท่าได้ (มันลงตัวไปหมด ยิ่งกว่า Titanic เสียอีก)ปกติเขาจะชอบทำหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนเล็กๆ อยู่แล้ว เช่น Changing Lanes หรือ Venus ในระดับนุ่มนวล เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องอะไร มันจะต้องมีด้านที่เกี่ยวพันกับสังคมตอนนั้นอย่างชัดเจน (เพราะขนาด Notting Hill ก็ยังฉายภาพการทำข่าวของสื่อมวลชนที่เน่าสนิท) ถ้าคุณชอบ Notting Hill ลองไปดู Morning Glory ของเขาดู

 4. หนังที่คุณสุทธิชัย หยุ่น แนะนำนักข่าว
 ผมเข้ามาทำงานที่เนชั่นฯ ปี 1994 (ปีที่แมนยู คว้าดับเบิลแชมป์ครั้งแรก) 17 ปีที่ผ่านมา ในฐานะคนข่าวก็มักจะได้รับการแนะนำหนังเกี่ยวกับข่าวจากคุณสุทธิชัย หยุ่น อยู่เสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน แม้ผมจะดูไปตั้งแต่ตรุษจีนในรอบสื่อฯ นานแล้ว แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนข่าวตัวจริง ที่มียอดคนตามทวิตเตอร์หลายแสน แนะนำนักข่าวของเนชั่นฯ ให้ดูอีกเรื่องหนึ่ง

 5. คนทำข่าวมีแง่มุมที่งดงาม
 ถ้าอ่านบทวิจารณ์หนังไปแล้ว และมาอ่านข้อเสนอแนะอีก 4 ข้อบน คุณอาจคิดว่าผมสะใจที่หนังแฉเบื้องหลังคนทำข่าว แต่เปล่าเลย ผมเพียงรู้สึกชอบที่จะมีหนังสักเรื่องพูดอะไรแบบนี้ (ดีกว่ากลับไปดูละครตบตีแย่งผัว ส่งเสียงกรี๊ดๆๆ และพูดว่าแกแย่งผัวช้านนนนนน)ทว่า ในความเป็นจริง ตัวหนังมันก็มีด้านที่เป็นสติอยู่ คือ การให้ภาพที่งดงามและจริงสำหรับอาชีพนักข่าว ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ “ไมค์” (แฮริสัน ฟอร์ด) ซึ่งเป็นนักข่าวคนข่าวตัวจริง มันมีนักข่าวแบบนี้อยู่จริงๆ (แม้จะมีพวกตอแหล ล่องลอยอยู่ในวงการข่าวก็ไม่น้อย)


 ผมชอบฉากสุดท้ายที่ ไมค์ สอนโปรดิวเซอร์สาวน้อยว่า คุณรักงานข่าวได้ แต่ถ้าคุณทุ่มชีวิตหมดเกลี้ยงให้กับมัน คุณก็อาจจะไม่มีชีวิตที่ควรจะมีเลย ก็ว่าได้ชีวิตมันควรจะมีหลายๆ ด้าน มีความรัก มีดื่มไวน์ มีวิ่งออกกำลังเล่นกีฬา มีขับรถเดินทาง มีการอ่าน มีเข้าห้างและเข้าวัด มีการฟังเพลงไพเราะ และมีการดูหนังดีๆ
เพราะสิ่งเหล่านี้ ไปสู่การมีที่สำคัญคือ “มีชีวิต”

"นันทขว้าง สิรสุนทร"