บันเทิง

คมเคียวคมปากกา - บทเพลงจากแดนประหาร

คมเคียวคมปากกา - บทเพลงจากแดนประหาร

11 มี.ค. 2554

เขียนต้นฉบับวันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๔

 จากโลกลี้ลับที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นอะไร พอเข้าไปแล้วก็ได้รู้ได้เห็นอะไรบ้าง...แม้โลกแหล่งนั้นจะยังคงลี้ลับ ซุกซ่อนด้วยเงื่อนปมปริศนา  ด้วยใคร-สิ่งใด-เหตุใด-อย่างไร พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงละจากพื้นที่โล่งกว้างอย่างอิสรภาพ เข้าไปอยู่ในพื้นที่อันจำกัดคับแคบ และเวลาชีวิตอันถูกลดทอน

 ยังคงมีฉากชีวิตหนึ่ง ผมรับรู้มาก่อนหน้านี้นานพอสมควร แต่เหตุการณ์กลับนำพามาประจวบกันอย่างบังเอิญ นั่นคือเรื่องราวของนักโทษชายคนหนึ่งซึ่งอดีตเป็นตำรวจ เคยออกรายการ “ค้น ค้น คน” และให้สัมภาษณ์ลงในหน้าบันเทิง “คม ชัด ลึก” การที่นักโทษชายจากแดนประหารได้เป็นข่าวในหน้าบันเทิง นั่นเพราะเขามีประสบการณ์ในการแต่งเพลง 

 เวลาว่างผมชอบฟังเพลงและดูละครประกอบเพลงในโทรทัศน์ ครั้งหนึ่งพบเพลงลูกทุ่งชื่อ “หนีรักมาพักดอยตุง” ขับร้องโดย ไทด์ ธนาพล  ซึ่งเนื้อเพลงก็ธรรมดาแบบหนุ่มหนีรักไปพักที่ดอยตุง แต่คำสั้นๆ ใต้ชื่อเพลงนั่นแหละครับ “บทเพลงจากแดนประหาร” ทำเอาผมอึ้ง อยากรู้อยากเห็น จึงตามค้นหาจากข่าวบ้าน จากข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ บ้าง  ถึงได้รู้ว่าผู้แต่งเพลงนี้ คือนักโทษประหารจากเรือนจำบางขวาง 

 เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปในดินแดนนั้น เรื่องบทกวีและบทเพลงจึงต่อกลอนต่อเพลงกันอย่างได้อรรถรส เรื่องหนึ่งที่ผมตั้งใจจะถาม ก็คือเรื่องเจ้าของเพลง “หนีรักมาพักดอยตุง” พูดยังไม่ทันจบประเด็นจะถาม  หลายคนในที่นั้นก็ยกมือขึ้น ส่งยิ้มพราย พร้อมพูดประมาณ “รู้จักกันดีครับ อยู่แดนเดียวกันครับ” 

 ผมระบายลมหายใจเบาๆ โดยไม่รู้ตัว เกิดความผ่อนคลาย นี่มันเข้าเรื่องเข้าราว “เรื่องเล่าจากแดนประหาร” เลยทีเดียว โดยผมไม่รู้มาก่อนว่าผู้แต่งเพลงที่เคยฟังนั้นยังเป็นผู้ต้องขังอยู่ที่นี่ และยังเป็นบุคคลที่ผู้ต้องขังจำนวนไม่น้อยภาคภูมิใจ 

 ผู้ต้องขังอาวุโสคนหนึ่ง ผู้ดูแลรายการทางเคเบิ้ลของเรือนจำ เขามายืนคุยกับผมด้วยเรื่องหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องวงการเพลงลูกทุ่ง เขารู้จักชื่อหมดเลย ไม่ว่าผมจะเอ่ยถึง ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ครูสุรินทร์  ภาคศิริ โดยเฉพาะ ครูสลา คุณวุฒิ ที่เขาบอกนิยมชมชอบที่สุดสำหรับเพลงลูกทุ่งร่วมสมัย เพราะง่ายและทันสมัย ผมไม่กล้ารุกล้ำเรื่องส่วนตัว  แต่สิ่งที่เขาเล่าในช่วงเวลาพบกันไม่กี่นาที เหมือนกับผมได้สัมผัสละครชีวิตฉากที่น่าประทับและสะเทือนใจยิ่ง ก็นั่นแหละครับ ผู้ต้องขังคนนี้เขาบอกผมถึงเพลง “หนีรักมาพักดอยตุง” ประมาณว่าตัวเพลงก็ไม่มีอะไร  เป็นเพลงธรรมดาที่ใครก็อาจแต่งได้เพลงหนึ่ง แต่การที่มันเกิดขึ้นภายในซี่กรงห้องขัง หรือในกำแพงเรือนจำ โดยผู้เป็นนักโทษประหารคนหนึ่ง  และการที่มันมีเสรีภาพออกไปข้างนอกได้นั่นต่างหาก ที่ทำให้เพลงนี้ไม่ธรรมดา...ใช่เลย...ผมรู้สึกเช่นเดียวกับเขาเลย...

 ว่ากันว่า...เขาผู้แต่งเพลงนี้มาจากเชียงราย ต้องคดีด้วยความผิดต่อชีวิต แรกๆ เขาหดหู่สิ้นหวัง มืดมนอนธการ คิดถึงแต่บ้าน คิดถึงแต่พ่อแม่  วันหนึ่งเขาเหลือบเห็นยอดมันแกวเล็กๆ แตกยอดออกจากรอยแตกของกำแพงซีเมนต์ จึงเกิดแรงบันดาลใจในการดิ้นรนต่อสู้ของชีวิต เขาคิดถึงสมัยเด็ก ครูภาษาไทยเคยสอนให้เขาแต่งกลอน เขาชอบแต่งกลอนและแต่งเพลง เคยแต่งเพลงลูกทุ่งร้องเล่นในหมู่เพื่อนมาแล้ว ว่าแล้วเขาก็ลงมือร่ำระบายความในใจออกมาเป็นบทเพลง เพลงแล้วเพลงเล่า ขณะเดียวกันก็ได้ฟังรายการ “รักไทไต่ดาว” ทางคลื่น ๙๘ จึงทดลองส่งเข้าไปในรายการ และสิ่งดีๆ อันพึงมีในศิลปะการประพันธ์ผลงานของเขา ก็ประจักษ์ถึงผู้บริหารค่ายเพลงแห่งหนึ่ง มีการซื้อลิขสิทธิ์และผลิตเพลงออกมาเผยแพร่ในโลกนอกเรือนจำ นอกจากเงินทองจำนวนหนึ่ง  สิ่งที่ผู้ต้องขังในแดนเสมือนไร้หวังคนหนึ่งพึงได้รับ นั่นก็คือ ความภาคภูมิใจ เขาพูดไว้ประมาณว่า “อย่างน้อยชีวิตนี้ ก็ได้ทำให้พ่อรับรู้ว่า ตัวเองยังพอมีคุณค่าอยู่บ้าง” และ “เพลงมันทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ไม่คิดถึงอดีต อนาคตอีกแล้ว”

 อดีตคน? ปัจจุบันคน? อนาคตคน? ช่างยอกย้อนซับซ้อนมิใช่น้อย  สำหรับผู้ต้องขังในแดนประหารนั้น ว่ากันว่า...มีทั้งคดีความผิดต่อชีวิต  คดีความผิดทางยาเสพติด โฉมหน้าชะตากรรมทั้งหลาย บางคนอาจจงใจ บางคนอาจเพียงชั่ววูบของอารมณ์ บางคนอาจเพียงแพะรับบาปของสถานการณ์ที่คิดไม่ถึง 

 นั่นแหละครับ ศิลปะหลายแขนง ยังสามารถบินเข้าออกในทุกเขตแดนใจ เหมือนที่วันนั้นผมชี้ให้ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ ดูนกฝูงหนึ่งในสนามหญ้าของเรือนจำ “พวกนกมันจะรู้ไหม? ว่านี่คือคุก!”

"ไพวรินทร์ ขาวงาม"