บันเทิง

คมเคียวคมปากกา - ฝนฮวยดอกจาน

คมเคียวคมปากกา - ฝนฮวยดอกจาน

04 ก.พ. 2554

เขียนต้นฉบับวันอังคารที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ แรม ๑๓ ค่ำ เดือนยี่

 ศุกร์เก่าคราวก่อน เขียนถึงเพลง “ฝนฮวยดอกจาน” ของ นิ้วก้อย  กรรณิการ์ คำร้อง-ทำนองโดย ว. วัชรินทร์ เคยฟังเสียงสดๆ จากนิ้วก้อยตามงานค่ายวรรณกรรม ทั้งเปิดฟังจากแผ่น และฟังนักศึกษานำมาขับร้องในกิจกรรมด้านดนตรีและภาษา นอกจากน้ำเสียงและท่วงทำนองแล้ว รู้สึกประทับใจด้านภาษาเป็นพิเศษ ผู้แต่งใช้ภาษาพื้นถิ่นอีสานแทรกเข้าไปแทบจะทุกวรรค แม้ไม่รู้ความหมายโดยตรงทั้งหมด แต่เมื่อฟังแล้วก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผู้แต่งต้องการสื่อสาร 

 “ฝนฮวยดอกจาน ทุ่งนาบ้านเฮา คือเอาบุญใหญ่ จั๊กจั่นตื่นฟ้าฝนใหม่ งอยง่าไม้ หยอกกันแซวแซว หอมกลิ่นดินซุ่ม กระเจียวดอกจูม  โผล่ดินอีกแล้ว เคยเก็บลวกกินกับแจ่ว อ้ายเคียงน้อง เมื่อฝนปีกลาย”

 “ปีนี้เหงาหลาย ฝนมาข้างกาย บ่คือมื้อเก่า ทางย่างเคยมีสองเฮา บ่มีเงา อ้ายบ่ม่วนใจ ฝนฮำฟ้าฮ้อง คือเสียงใจน้อง ฮ้องหาคนไกล ไปซ้นตึกซอกซอยใด๋ ฮู้บ่ใจ น้องเอิ้นถามข่าว”

 “คึดฮอดบ้านเฮา คือเก่า บ่น้อใจอ้าย ฝนมาฟ้าใหม่ อยู่เมืองใหญ่  ไผน้อเคียงเงา มื้ออิงไหล่อ้าย ตุ้มแพรลาย ลี้ฝนเถียงเก่า พร่ำบอกฮักกันเบาเบา หวานมื้อเก่า อ้ายจื่อได้บ่”

 “มื้อใด๋น้อนาง สิได้ฮ่วมย่าง ทางทรายสายเก่า เก็บไข่จั๊กจั่นยามเซ้า  หมกบ่ายข้าว กับอ้ายอีกหนอ ตุ้มแพรลี้ฝน บนเถียงนา น้ำตาไหลคลอ  ซอมทางนั่งถ่าจ่อค่อ ยินเสียงน้องบ่ ฝากไปนำฝน”

 ฟังและอ่านคำร้อง ผมรู้สึกเหมือนได้ฟังและอ่านบทกวีที่ไพเราะ  เนื้อหาแม้เป็นเพียงสาวบ้านนาอาลัยอาวรณ์หนุ่มผู้จากไปอยู่เมืองไกล  แต่การเอ่ยถึงงานบุญ ดอกกระเจียว จักจั่น เถียงนา แจ่ว ฝนฮำ ฟ้าฮ้อง ฯลฯ ทำให้เกิดบรรยากาศที่มีเสน่ห์ขึ้นมา ทั้งทางภาษา อารมณ์ รู้สึกนึกคิด

 ไม่กี่ปีก่อน ผมเคยพบผู้แต่งเพลงนี้ครั้งหนึ่งที่หนองบัวลำภู ถ้าจำไม่ผิดเขาเป็นครูมาจากทางสกลนคร หรือนครพนม และเพลงนี้ก็ดูเหมือนจะเคยได้รับรางวัลอะไรสักอย่างด้านคำร้องนี่แหละ กำลังตามหาตัวเขาอยู่ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม เคยแลกหมายเลขโทรศัพท์กันไว้ ก็หายไปในคลื่นอากาศเสียแล้ว

 “ฝนฮวยดอกจาน” เท่าที่ใช้ความรู้สึก และสอบถามหาความรู้ น่าจะประมาณฝอยฝนพรำพรมดอกจาน ฝอยฝนโลมอาบดอกจาน ในภาพประกอบเพลงที่เขานำเสนอก็ฉายภาพละอองฝนระรินดอกจาน เป็นภาพที่สวยงาม ลำพังดอกจานก็สวยอยู่แล้ว ยิ่ง “ฝนฮวยดอกจาน” ยิ่งสวยเศร้าเข้าอารมณ์เพลง

 หลายปีก่อน มีนิตยสารฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ผมว่าชอบดอกไม้ใดมากที่สุด ให้เลือกหนึ่งดอกไม้ พร้อมเหตุผลและความรู้สึกสั้นๆ ผมเลือกดอกจาน เขานำไปลงพิมพ์หน้าสีพร้อมภาพดอกจานสีส้มสวยงาม  ประทับใจดอกจานเป็นพิเศษ มันเป็นดอกไม้ที่ทำให้ “คิดถึงบ้าน” หรือ “คิดถึงอีสาน” แม้ทางภาคเหนือก็มี เพียงแต่เขาเรียก “ดอกทองกวาว” 

 แวบขึ้นเหนือสักหน่อย สมัยไปวนเวียนชีวิตอยู่แถวเชียงใหม่ และเชียงราย พบเจอภาพและเสียงชีวิตชนิดหนึ่งๆ เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งจะจากบ้านไปกับชายฐานะดีจากกรุงเทพฯ เพื่อนๆ มาส่งขึ้นรถ พร้อมกับตะโกนสั่งว่า “อย่าลืมงานบุญบ้านเฮาเน้อ” ผมเห็นภาพกับตา ได้ยินเสียงกับหู เพราะชายฐานะดีคนนั้นผมรู้จัก เป็นนักข่าวบันเทิง เขาชวนผมติดรถไปเชียงราย เพื่อขอสาวจากพ่อแม่ไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ

 “อย่าลืมงานบุญบ้านเฮาเน้อ” เป็นเสียงเหนือที่ติดหูผมยี่สิบกว่าปีแล้ว เมื่อมาฟัง “ฝนฮวยดอกจาน” ซึ่งเป็นเสียงอีสาน ก็เกิดจิตสังเคราะห์ความคิดถึงขึ้นมาสารพัน คิดถึงดอกไม้หลายท้องถิ่น คิดถึงงานบุญ คิดถึงความรัก ความฝัน ความหวัง กระทั่งความพลัดพรากจากลาของหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งจากปมการบ้าน การเมือง การชีวิต การเศรษฐกิจ การศึกษา กระทั่งชะตากรรม ที่ยากแก่การคาดเดา

 เสียงคร่ำครวญของเพลงรักที่แสนเศร้าจึงยังมีให้ได้ยินอยู่เสมอ...พลอยคิดถึงชื่อหนังสือแบบไทยๆ ที่ถ้านำมาร้อยเรียงกันเป็นเนื้อหาต่อเนื่อง  ก็ประมาณว่า ความรักอาจเริ่มต้นแบบ “ขายหัวเราะ”  “คู่สร้าง คู่สม”  “ชีวิตต้องสู้”  และอาจจบลงแบบ “ศาลาคนเศร้า”     

 “คึดฮอดบ้านเฮา คือเก่า บ่น้อใจอ้าย...”

"ไพวรินทร์ ขาวงาม"