
คมเคียวคมปากกา - เขียนฝันไว้ข้างฝา
เขียนต้นฉบับวันพุธที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒
จากที่เพียงผ่านๆ ชื่อ อำเภอประทาย พอได้ไปพักแรมจริงๆ เสียงถ้อยคำศัพท์แสงจากผู้รู้ทั้งหลายก็พรั่งพรูให้คิดถึง ทั้ง บัณฑาย บรรทาย บันเทือย บันทายสรี บันเตียเสรย บ็อนเตีย บันทายฉมาร์ ประทายสมันต์ ฯลฯ ซึ่งหลายท่านบอกว่าน่าจะหมายถึง ป้อม ค่าย หรือที่พักแรม ของทหารขอมในอดีต
“พเนจร” ตำรวจผู้นิยมบทกวีแบบบ้านๆ แต่งกลอนไว้ในร้าน “บัณฑาย” ของเขา พูดถึงขอมยุครุ่งเรือง ก็พอทำให้เห็นเค้า อย่างน้อยเขาต้องเคยฟังคนเฒ่าคนแก่เล่า โดยเฉพาะ “จ่าจ่อย” ผู้พ่อของเขาซึ่งเป็นนักเขียนในยุคแรกๆ ของ “ฟ้าเมืองไทย” ส่วนรายละเอียดที่มาที่ไปของถ้อยคำและความหมาย ผู้คนแต่ละถิ่นแต่ละท้องที่ ก็ออกเสียงและออกความแตกต่างกันไป ภาษาเขมรเวลาออกเสียงเป็นไทย มักเป็นเช่นนี้
“ค่ายประทาย” ของ กองทุนศิลปินครูบ้านป่า สลา คุณวุฒิ ผู้ติดต่อประสานจนได้จัดงานและงานลุล่วง คนหนึ่งก็คือ อาจารย์ต้น มเหศักดิ์ ซึ่งเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของ อาจารย์ลักขณา พวกเมืองพล ครูภาษาไทย โรงเรียนบ้านไผ่ และระหว่างเตรียมจัดงานนี้ที่ โรงเรียนประทาย เขาได้รับการโยกย้ายไปเป็น รองผู้อำนวยการ โรงเรียนตลาดไทร กระนั้นก็มิได้ทิ้งงานไป ยังกลับมาดูแลงานจนสำเร็จด้วยดี หลายคนแอบชื่นชมอาจารย์หนุ่มผู้กำลังก้าวหน้าในชีวิตราชการ ชีวิตครอบครัวก็มีภรรยาและลูกๆ ตัวเล็กๆ มาให้กำลังใจ ที่สำคัญเขาแน่วแน่และมีสมาธิในกิจกรรมค่าย ที่บางครั้งก็เหมือนจับปู่ใส่กระด้ง
ร้านอาหาร...โรงเรียน...บางทีก็เชื่อมโยงดูแลกัน ด้วยกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น...
งานนี้ได้พบ รัชนก ศรีโลพันธุ์ นักร้องสาวแดนใต้จาก ร่อนพิบูลย์ นครศรีธรรมราช ผู้นำเพลง “เขียนฝันไว้ข้างฝา” มาขับกล่อมน้องๆ แดนอีสาน บังเอิญเป็นเพลงโปรดของผมเสียด้วย ปกติเปิดฟังบ่อยๆ ใน ”เพชรในเพลง...รวม ๒๘ เพลงลูกทุ่งแห่งเกียรติยศ” เพราะเพลงของเธอสองเพลงเคยได้รับรางวัลคือ “เขียนฝันไว้ข้างฝา” และ “เพลงรอที่พุมเรียง” และเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของ ครูจูเลี่ยม กิ่งทอง เพลงหลังนี้เป็นเพลงที่ครูจูเลี่ยมแต่งไว้ก่อนเสียชีวิต แก้เพลง “นิราศรักพุมเรียง” ของ สาลิกา กิ่งทอง
“เขียนฝันไว้ข้างฝา” ฟังว่าแต่งโดย สลา คุณวุฒิ เพลงชีวิตที่ทำให้รัชนกโด่งดังหลายปีแล้ว วันนั้นได้ฟังเธอขับร้องสดๆ ยังประทับใจในน้ำเสียง ขณะหลายคนบอกว่าน่าจะมีเพลงอื่นส่งเธอไปได้ไกลกว่านี้
“เขียนติดฝาห้องว่าต้องสู้ไหว ลูกต้องทำให้ได้ เคยบอกแม่ไว้จำได้เสมอ จากบ้านวันฟ้ามัว มาขึ้นรถทัวร์ที่อำเภอ หอบฝันเปื้อนน้ำตาเอ่อ เข้าเมืองเสี่ยงดวงเดียวดาย...งานแรกรายได้ที่ใจเสาะหา ไม่ตรงที่เรียนมา ก็ต้องรีบคว้า รอท่าไม่ไหว เช่าห้องโทรมซุกนอน เพื่อลดทอนรายจ่าย จะเก็บเงินพันสักใบ ต้องใช้เวลาหลายเดือน...หลังคาเรือนรูรั่ว ข้างหัวเตียงแม่ จักรยานอีแก่ ที่พ่อปั่นยี่ห้อลบเลือน น้องอ้อนวอนขอ อยากมีเสื้อใหม่เหมือนเพื่อน ภาพหวังค้างจ่ายย้ำเตือน ฝันไม่เลือนแต่คงต้องรอ...เขียนคำห้ามท้อไว้เตือนใจฝัน สายเลือดความมุ่งมั่น จากแม่นั้นยังมีมากพอ ลูกแม่ยังสู้ไหว แม้เมืองไกลใจร้ายต่อ ความฝันที่เราเฝ้ารอ ลูกขอทยอยส่งคืน...”
สำหรับผู้คนชนบทลูกหลานชาวไร่ชาวนา โฉมหน้าชะตากรรมหนึ่งที่จะต้องพบเจอซ้ำๆ คล้ายกันก็คือ “ภาคบังคับทางเศรษฐกิจ” ทั้งลูกหนุ่มลูกสาวเมื่อเรียนจบประถมต้นประถมปลาย หากไม่ได้เรียนต่อ ก็ต้องเดินทางเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ พื้นที่ระหว่างเมืองหลวงกับชนบทจึงรองรับน้ำหนักของนานาชีวิต ลูกเหนือก็เข้ากรุงเทพฯ ลูกใต้ก็เข้ากรุงเทพฯ ลูกอีสานก็เข้ากรุงเทพฯ เรื่องราวที่นักเล่าเรื่องทั้งหลายเล่า จึงมักวนเวียนอยู่กับพื้นปมเหล่านี้ มันอาจซ้ำซากจำเจมาเนิ่นนาน ด้วยวัตถุดิบแห่งความเป็นจริงก็ซ้ำๆ อยู่เช่นนี้ แต่ว่าศิลปะการเล่าเรื่องนั้น นอกเหนือจาก “อะไร” ที่นักเล่าเรื่องต่างมีไม่มากไม่น้อยกว่ากันแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือ “อย่างไร” ของแต่ละคน ที่จะทำให้ “อะไร” ทั่วไปแตกต่างหลากหลายด้วยรายละเอียดเฉพาะ เพลงแบบสาวบ้านนอกเข้ากรุงมีอยู่จำนวนมาก เพลง “เขียนฝันไว้ข้างฝา” ก็เป็นหนึ่งในจำนวนเหล่านั้น เพียงแต่มีความพิเศษเฉพาะของมัน ด้วยรายละเอียดการนำเสนอ “อย่างไร” ของศิลปิน
ฟังเพลงนี้ของนักร้องสาว รัชนก ศรีโลพันธุ์ แล้ว คิดถึงเพลง “ทางเดินชาวดิน” ของนักร้องหนุ่ม ไมค์ ภิรมย์พร เป็นเพลงชีวิตอีกเพลงหนึ่งที่ฟังซ้ำบ่อยๆ แล้วรู้สึกคิดถึงลูกของบ้าน และหลานของเมือง!
"ไพวรินทร์ ขาวงาม"