
คมเคียวคมปากกา - ทบ.สอง ลูกอีสาน
เขียนต้นฉบับวันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2553 แรม 10 ค่ำ เดือน 11
ไม่ได้ฟังเพลงเกี่ยวกับทหารเกณฑ์มานานแล้ว เมื่อก่อนนั้นมีให้ฟังให้ร้องตามนับไม่ถ้วน ช่วงนี้ที่มีออกมาให้ฟังชวนประทับใจก็คือ “ชีวิตเพื่อชาติ หัวใจเพื่อเธอ” ของ มนต์แคน แก่นคูน และ “ทบ.สอง ลูกอีสาน” ของ ไผ่ พงศธร
“ทบ.สอง ลูกอีสาน” แต่งโดย วสุ ห้าวหาญ เคยฟังผ่านก็รู้สึกว่าไพเราะดี หลังกลับจากเที่ยว “ตากใบ นราธิวาส” ลองหามาฟังซ้ำหลายรอบ ยิ่งให้รู้สึกหวิวๆ วีๆ แบบลมดึกในเนื้อเพลง ไพเราะทั้งคำร้อง ทำนอง และน้ำเสียงผู้ขับร้อง เนื้อหาความหมายงดงามทั้งภาษาไทยและภาษาใจ รวมทั้งภาพชีวิตของทหารเกณฑ์ลูกอีสานในชายแดนใต้...ที่คิดถึงแม่...คิดถึงบ้าน...และคิดถึง “สาวเว้ายาวี”
“ต้องจากบ้านนา ถูกเกณฑ์เข้ามากรมทหาร หนุ่ม ทบ.สอง ลูกอีสาน มาประจำการชายแดนมาเลย์ บ้านเมืองขัดแย้ง สายตาระแวงพาให้ว้าเหว่ ชีวิตดั่งเรือลำน้อยลอยเล แขวนบนเส้นด้ายปลายกระบอกปืน...บ้านเกิดเมืองนอน ที่จำจากจรตอนนี้ ลมดึกโชยมาหวิววี คงหลับฝันดีกันตลอดคืน หนุ่มทหารเกณฑ์ลาดตระเวนเสียจนดึกดื่น เดือนเหงาดาวตกเสียงนกกลางคืน แว่วซ้อนเสียงปืนจากชายเขาไกล...ในวันดีดี ที่ไม่มีสถานการณ์ สาวเว้ายาวีกับบ่าวอีสาน ยิ้มให้กันแบ่งปันน้ำใจ ต่างภูมิลำเนา แต่ว่าเฮาก็เป็นคนไทย ปลดประจำการกลับบ้านเมื่อไหร่ เบอร์ที่น้องให้ จะหมั่นโทรมา...เทือกเขาบูโด ทาบทะมึนไกลมากมายความลับ กี่ดวงชีวิตที่มอดดับ สังเวยความเชื่อแยกดินแบ่งฟ้า อยู่ป้อมน้อยน้อย กอดปืนยืนยามตีสามกว่ากว่า เสียงโอละเห่ของแม่แว่วมา หัวใจครวญว่า...คิดฮอดบ้านเด้...”
ตอนไปตากใบ เราเห็นทหารในชุดลายพราง ยืนถือปืนประจำอยู่ตามจุดต่างๆ และมักเห็นหญิงสาวในผ้าคลุมฮิญาบยืนพูดคุยด้วย ลำพังภาพย่อมเห็นเป็นเพียงชาวบ้านในท้องถิ่นที่มีอัธยาศัยไมตรีกับทหาร อาจหาน้ำหาท่ามาฝาก แต่เจ้าถิ่นผู้นำเที่ยวบอกเล่าว่าปมหนึ่งของพื้นที่นี้ก็คือ “ปมรัก” ระหว่างทหารจากพื้นที่อื่น กับหญิงสาวในพื้นที่นั้น ทหารจากพื้นที่อื่นย่อมแปลกหน้าและเหงาใจไม่น้อย เมื่อเจ้าของพื้นที่ยินดีต้อนรับ ความอบอุ่นคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่วนเจ้าของพื้นที่ย่อมรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่อมีผู้มาเฝ้าดูแล ต่างฝ่ายต่างแปลกใหม่ต่อกัน ขณะเดียวกันก็พร้อม “แบ่งปันน้ำใจ” แบบเพื่อนไทย เพื่อนมนุษย์
ความรักใคร่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ อาจข้ามแดนไปมาได้ทุกเชื้อชาติศาสนา แต่ความรักใคร่นั้นย่อมมีทั้งที่สมหวังดั่งใจในความเป็นจริง และที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนในความฝันที่ออกแบบมิได้ บางทีที่ว่า “รักไม่มีพรมแดน รักไม่มีเชื้อชาติ รักไม่มีศาสนา” นั้น มันก็อาจมีพรมแดน มีเชื้อชาติ มีศาสนาได้เหมือนกัน “ปมรักปมพราก” ระหว่างทหารหนุ่มที่ประจำการชั่วคราว กับหญิงสาวในพื้นที่ถาวร จึงย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ผมฟังเจ้าถิ่นเล่าบางเรื่องราวที่เขารับรู้มาแล้ว รู้สึกเศร้าเห็นใจชะตากรรมของเขาๆ เธอๆ พลอยนึกถึงสมัยฐานทัพจีไอในอีสาน ที่ “ปมรักปมพราก” ฝากร่องรอยบาดแผลชีวิตไว้ไม่น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยลิขิตแห่งรัก ลิขิตแห่งใคร่ ลิขิตแห่งสงคราม หรือลิขิตแห่งการเมืองการเศรษฐกิจใดๆ ก็ตาม
จะว่าไปแล้ว แม้แต่ “บ่าวอีสาน” กับ “สาวเว้ายาวี” ในเพลง “ทบ.สอง ลูกอีสาน” ก็เป็นเพียงภาพฝันสวยงามเท่าที่บทเพลงจะพึงทำหน้าที่ได้ แบบ “...เบอร์ที่น้องให้ จะหมั่นโทรมา...” หลังจากนั้นใครจะไปรู้ในความเป็นจริง ผมเองก็ไม่รู้ ผู้แต่งเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ชะตากรรมเชิงยากๆ ที่เรามิอาจกำหนดออกแบบได้ง่ายๆ โอ...รักและคิดถึงกันเพียงใด วันหนึ่งเมื่อทหารหนุ่มต้องย้ายไปประจำการยังพื้นที่อื่น หญิงสาวเจ้าของพื้นที่เดิมจะอาจย้ายติดตามไปได้ละหรือ?
ครับ ขอชื่นชม วสุ กะ ไผ่ สำหรับเพลงนี้ เป็นเพลงลูกทุ่งเนื้อหาชีวิตรบชีวิตรัก ฉากเทือกเขาบูโด ตัวละครต่างแดนต่างศาสนา คนอ่อนไหวอย่างผมฟังแล้วน้ำตาซึม...ว่ากันว่า เพลงนี้กำลังประสบความสำเร็จหลายด้าน ทั้งต่อความรู้สึกผู้ฟังทั่วไป ทั้งใจ ทั้งเงิน ทั้งกล่อง ว่างั้นเถอะ
สุดท้าย ขอแก้ข้อมูลคลาดเคลื่อนครับ เคยเขียนถึง กวี/ครูพันธกานท์ ตฤณราษฎร์ เมื่อหลายศุกร์ก่อน เผลอพิมพ์ “ตฤณ” เป็น “ตรณ” และบอกว่าเขาเป็นครูอยู่ “ปัตตานี” ที่จริงบ้านเขาอยู่ “ปัตตานี” แต่ตอนนี้เป็นครูสอนอยู่ที่ “สงขลา” ณ แถบสันกาลาคีรี-บูโด เขาเคยบรรจุเป็นครูครั้งแรกที่ “ดุซงญอ นราธิวาส” 5 ปี และครั้งหนึ่ง “โรงเรียนบ้านพรุชิง สงขลา” ที่เขาสอนก็เคยเป็น “โรงเรียนถูกเผา” มาแล้ว
...กระทั่งเขาบอก “บทกวีฉันร่ำไห้”...
"ไพวรินทร์ ขาวงาม "