
Toy Story 3
การเดินทางที่ห่างจากภาคสองนาน 11 ปี ไกลจากภาคแรกถึง 15 ปี แต่เรื่องราวใน Toy Story 3 ก็ไม่เคยตกยุคตกสมัย มีจุดร่วมที่มั่นคงแน่วแน่เสมอมานั่นคือเรื่องของ ความงดงามแห่งมิตรภาพ ซึ่งภาคนี้ เหล่าผองเพื่อนของเล่นยังคงออกผจญภัยพร้อมกับได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ
เมื่อ ‘แอนดี้’ ในวัย 17 ปี เจ้านาย เจ้าของ ผู้เป็นที่รักและทุกสิ่งอย่างของนายอำเภอ ‘วู้ดดี้’ ,หุ่นอวกาศ ‘บัซ ไลท์เยียร์’, ‘เจสซี่’ คาวเกิร์ล สาวน้อยจอมแก่น, ตุ๊กตาหัวมันฝรั่ง ‘มิสเตอร์ โปเตโต้ เฮด’ กับแฟนสาว, เจ้าหมาติดสปริง ‘สลิงกี้’ ,เจ้า ‘เร็กซ์’ ไดโนเสาร์ตัวเขียว และเพื่อนพ้องของเล่นมากมาย เตรียมแพ็กกระเป๋าเดินทางไกลไปอยู่หอพักเพื่อเรียนต่อวิทยาลัย และเลือก ‘วู้ดดี้’ เป็นของเล่นเพียงอย่างเดียวที่นำติดตัวไปด้วย ที่เหลือเก็บใส่ลังไว้ห้องใต้หลังคา และในระหว่างนั้นเอง เกิดเหตุเข้าใจผิด แม่ของแอนดี้ กลับนำของเล่นทั้งหมดไปบริจาคให้ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก
ใน “Toy Story” ทั้งสองภาคที่ผ่านมา สถานการณ์จับพลัดจับผลูด้วยความเข้าใจแบบนี้ ความสนุกสนานมักจะเกิดขึ้นตรงที่ตัวละครของเล่นเฮโลสาระพา ช่วยกันหาทางหอบหิ้วเพื่อนรักกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ หลังพลัดหลงตกหล่นไปอยู่ในสถานที่แปลกถิ่น แต่ทุกครั้งพวกมันก็สร้างมิตรภาพกับของเล่นแปลกหน้าได้เสมอ
เรื่องราวการผจญภัยในภาคที่สาม ดูจะยอกย้อน และมีเงื่อนไขมากกว่าที่ผ่านมา เพราะเหล่าของเล่นรู้ว่า...มันจะต้องจากลา ผู้เป็นเจ้าของในไม่ช้า...จุดหมายปลายทางครั้งนี้ อาจไม่ได้อยู่ที่การเดินทางกลับบ้าน เพื่อกลับไปหาเจ้านายที่มันรักและภักดีอย่างเดียว แต่อยู่ที่การค้นพบคุณค่าและความหมายของชีวิต (แม้พวกมันเป็นเพียงของเล่น ไร้ลมหาย ไม่มีเลือดเนื้อ แต่จิตวิญญาณนั้นกลับลุกโชนออกโลดแล่นไม่หยุด)
ไม่เพียง ‘แอนดี้’ เท่านั้น ที่เติบโต แต่ของเล่นทุกตัวของเขาก็เติบโต (ทางความคิด) ไม่น้อยไปกว่ากัน พวกมันไม่เคยนึกน้อยอกน้อยใจที่ถูกทอดทิ้ง (เพราะต่างก็เข้าใจตั้งแต่ในภาคที่แล้วว่า เมื่อไหร่ที่เด็กๆ เติบโต เวลาที่เปลี่ยนไป พวกมันก็จะห่างไกลจากเจ้านายมากขึ้น) แต่การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ ก็เพื่อได้อยู่กับคนที่รัก หาได้ต้องการเป็นสิ่งที่รักของคนอีกต่อไป ดังนั้นไม่ว่าจะถูกอัปเปหิลงกล่อง เพื่อเก็บเข้ากรุไว้ในซอกหลืบใดของบ้าน พวกมันก็ไม่เคยเสียใจมากไปกว่าต้องระเห็จออกจากบ้านไปที่อื่น
เส้นทางการผจญภัยใน “Toy Story 3” ไม่ได้อยู่ตรงที่เพื่อนๆ ออกตามหา ‘วู้ดดี้’ หรือ ‘วู้ดดี้’ พบเจอมิตรภาพใหม่ๆ หรือทั้งหมดพากันกลับบ้านเท่านั้น การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงเป็นไปในเชิงกายภาพ หากแต่เป็นการเดินทางในจิตใจที่นำไปสู่การค้นพบความงามอันยิ่งใหญ่
หนังเด็กเรื่องนี้ ไม่เพียงทำเอาสนุกเพื่อเด็กๆ เท่านั้นครับ หากแต่ยังสอนเด็กให้รู้จักรัก ทะนุถนอม และให้ความสำคัญต่อสิ่งที่อยู่ในครอบครองประหนึ่งว่า มันมีชีวิตหัวจิตหัวใจ ทั้งยังพยายามสื่อไปถึงผู้ใหญ่ให้สำนึกถึงคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของที่เราทิ้งขว้าง บางทีก็อาจมีประโยชน์ต่อคนอื่นก็ได้
ปมปัญหาอันเกิดจากการถูกทอดทิ้ง ยังคงเป็นสิ่งที่ “Toy Story” หยิบนำมาพูดถึงเสมอ ชะตากรรมของเจ้าตุ๊กตาหมี ขาใหญ่ แห่งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในภาคสาม ไม่ต่างจาก ‘ตาเฒ่า’ นักขุดทองในภาคที่สอง ผู้กลายเป็นตัวร้ายในหนัง
ความสนุกสนานก็ดูจะแปรผันตามจำนวนภาคที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ความระทึกใจที่ใส่เข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง เพิ่มความน่าติดตามให้แก่หนังตั้งแต่นาทีแรกๆ อารมณ์ขันที่ไม่เคยขาดหาย ความประทับใจที่มาพร้อมเรื่องราวใหม่ๆ ตัวละครใหม่ๆ ประเด็นใหม่ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รอยปากกาคำว่า ‘andy’ ที่ปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้าของ ‘วู้ดดี้’ ‘บัซ ไลท์เยียร์’ และอีกหลายๆ ตัว อันแสดงถึงความเป็นเจ้าของ แม้จะมีสีซีดจางไปบ้างตามกาลเวลา แต่สำนึกของเหล่าตุ๊กตาว่ามี ‘แอนดี้’ เป็นเจ้าของก็ไม่เคยจืดจางไปเช่นกัน
สิ่งที่ท้าทายใน “Toy Story 3” ทั้งคนทำและคนดูก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกมันคิดเปลี่ยนเจ้านาย แต่เชื่อเถอะว่าหนังไม่ได้ลงเอยในทางร้ายๆ หรอกครับ แถมยังจบด้วยความประทับใจไม่แพ้ตอนที่ผ่านๆ มา เพียงแต่ว่า บทสรุปภาคนี้ มันอาจจะไม่มีภาค 4-5-6 ตามมา แต่ถึงอย่างไร แอนิเมชั่น “Toy Story” ไม่ว่าภาคไหนก็ตาม จะอยู่ในใจของผู้ชมเสมอ และขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งในหนังคลาสสิก ตลอดกาล เพราะคุณค่าของมันไม่เคยหล่นหายไปตามกาลเวลา แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวของเล่นชิ้นเล็กๆ ก็ตาม
ชื่อ : Toy Story 3
ผู้เขียนบท : John Lasseter, Andrew Stanton, Lee Unkrich, Michael Arndt
ผู้กำกับ : Lee Unkrich
ผู้ให้เสียงพากษ์ : Tom Hanks, Tim Allen, Joan Cusack, Ned Beatty, Michael Keaton
วันที่เข้าฉาย : 12 สิงหาคม 2553
"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"