บันเทิง

เจ้านกกระจอก

เจ้านกกระจอก

05 ส.ค. 2553

ถ้า อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล พยายามตั้งคำถามกับสังคม เล่นกับความเชื่อหรือไม่ก็สำรวจส่วนเสี้ยวของความเป็นมนุษย์ ด้วยการพาเราเดินทางผ่านผืนป่าในหนังของเขาหลายๆ เรื่อง ขณะที่คนทำหนังอย่าง อาทิตย์ อัสรัตน์ ก็ใช้เมืองเหงาๆ อันเงียบงาม เป็นที่คุมขังจิตวิญญาณของ

  แม้เรื่องราวในหนังขับเคลื่อนด้วยท่าทีประณีประนอม แต่สุดท้าย “Wonderful Town” ก็สะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวง และมุ่งคุกคามสิ่งแปลกปลอม อันเป็นสัญชาตญาณการระแวดระวังป้องกันตัวของมนุษย์ที่เราปฏิเสธไม่ได้...นี่คือตัวอย่างของคนทำหนังอิสระ ที่งานของพวกเขา เปี่ยมด้วยพลังแห่งเสรีภาพทางความคิดอันยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าเทียบกับสเกลของทุนสร้าง การสร้างภาพลักษณ์ความน่าสนใจให้แก่ตัวหนังหรือที่เรียกกันว่า ‘หน้าหนัง’ ระบบการจัดจำหน่าย หรือการประชาสัมพันธ์ในการนำออกเผยแพร่สู่วงกว้างแล้ว อาจวัดกันไม่ได้กับหนังในกระแสหลัก หรือหนังที่ถูกสร้างในระบบสตูดิโอ แต่ ‘คนทำหนังกลุ่มน้อย’ เหล่านี้ล่ะครับ ที่มักสร้างปรากฏการณ์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

 ทั้งนี้เพราะ ‘ธีม’ สากลที่คนทั้งโลกสามารถเข้าใจได้ตรงกันก็คือ กระบวนการชำแหละ หรือวิพากษ์ความเป็นมนุษย์ด้วยวิธีการหรือมุมมองใหม่ๆ ตามทัศนะ และความเชื่อของคนทำหนังในชาติพันธุ์นั้นๆ  ที่สำคัญ บุคคลเหล่านี้ต่างเปิดพื้นที่ทางความคิดใหม่ๆ ให้เราได้ลองไปเดินเล่นค้นหา

 อโนชา สุวิชากรพงศ์ เป็นคนทำหนังอิสระอีกคนหนึ่งที่น่าจับตามองครับ ถ้า ‘อภิชาติพงศ์’ คือคนทำหนังผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวโลก ‘อาทิตย์’ คือคนทำหนังรุ่นใหม่ที่ดูท่าจะมีอนาคตไกลไม่แพ้กัน ‘อโนชา’ ก็น่าจะเป็นร่างอวตารของทั้งคู่...

 หนัง “เจ้านกกระจอก” ของเธอ โดดเด่นมากด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องโดยไม่เรียงตามลำดับเวลา แต่ใช้การจัดวางความสัมพันธ์ที่ตัวละครมีต่อกัน เพื่อเรียบเรียงเนื้อหาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทน (ซึ่งก็ทำให้เข้าใจได้เหมือนกัน) ความเหมือนที่แตกต่างของ ‘อโนชา’ และ ‘อภิชาติพงศ์’ คือทั้งคู่แทบจะรื้อโครงสร้างของเวลาในหนังลงไปอย่างสิ้นเชิง

 งานของ ‘อภิชาตพงศ์’ เรื่องของ ‘เวลา’ แทบจะไม่ได้มีความสำคัญมากไปกว่า ‘สถานที่’(โดยเฉพาะ ‘ป่า’ ใน “สุดเสน่หา” “สัตว์ประหลาด” “ลุงบุญมีระลึกชาติ” ‘โรงพยาบาล’ ใน “แสงศตวรรษ”) ‘ความเชื่อ’ (เรื่อง ‘ตำนานพื้นบ้าน’ ใน “ดอกฟ้าในมือมาร” หนังยาวเรื่องแรกของเขา ‘เสือสมิง’ ใน “สัตว์ประหลาด” ‘การกลับชาติมาเกิด’ ใน “ลุงบุญมีระลึกชาติ”)

 ส่วน ‘อโนชา’ นั้น เรื่องราวในหนัง “เจ้านกกระจอก” ของเธออาจจะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของเวลาก็จริง หากแต่เธอก็ปฏิเสธที่จะให้ ‘เวลา’ มาเป็นเงื่อนไขในการเล่าเรื่อง มากกว่าเน้นไปที่การให้รายละเอียดกับความสัมพันธ์ของตัวละคร...

 และถ้าหนังเรื่อง “Wonderful Town” ผู้กำกับ ‘อาทิตย์’ จะใช้เมืองเล็กๆ เป็นตัวแทนบอกกล่าวเล่าถึงความป่วยไข้ในใจผู้คนแล้ว แต่สำหรับอโนชา หนัง “เจ้านกกระจอก” ของเธอก็ใช้ความเจ็บป่วยทางกายภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นตัวแทนของการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของบทุกสรรพสิ่ง ตั้งแต่อณูของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ไปสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่

 เรื่องราวความสัมพันธ์ของบุรุษพยาบาล กับเด็กหนุ่มพิการเป็นอัมพาตจากอุบัติเหตุ ก่อตัวขึ้นจากความเมินเฉย อาจจะด้วยเพราะปมในใจบางอย่าง (ซึ่งหนังก็ไม่ได้อธิบายอะไรไปมากกว่า เขาเพิ่งสูญเสียแม่ มีปฏิกิริยาเย็นชากับผู้เป็นพ่อ) หรือปฏิสัมพันธ์ที่หนุ่มพยาบาลมีต่อแม่ครัวประจำบ้าน หลานชายของเธอ กิริยามึนตึงจากผู้ดูแล และผู้เป็นพ่อ หัวหน้าครอบครัว ที่แทบจะไม่ค่อยอยู่บ้าน

 แม้เรื่องราวส่วนใหญ่ใน “เจ้านกกระจอก” จะบอกเล่าความสัมพันธ์ของผู้คนเหล่านี้ ในหลายระดับตั้งแต่แค่สังเกตการณ์ เฝ้ามองอย่างไม่วางตา หรือผ่านเลยอย่างไม่ใส่ใจ...แต่อโนชา เหมือนเด็กสาวที่เฝ้าพยายามเรียนรู้วิถีของโลก หลังเฝ้ามองตัวละครของเธอที่ต่างเกี่ยวพันเชื่อมร้อยเป็นห่วงโซ่ถึงกัน และเมื่อพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไกล แล้วทุกสิ่งอย่างก็กลายเป็นธุลีที่ล่องลอยในห้วงหาว เป็นแค่หนึ่งอณูของกาแล็กซีอันไกลโพ้น...

 ฟังดูเหมือนหนังเรื่องนี้เพ้อฝันและทะเยอทะยานเหลือเกินนะครับ แต่นี่คือความหาญกล้าของคนทำหนังตัวเล็กๆ ที่มากด้วยอิสรภาพทางความคิดอันยิ่งใหญ่ หนังที่จับความเอาสัมพันธ์ ตั้งแต่ระดับจุลภาค และเล่าไปจนถึงระดับมหภาคได้อย่างน่าอัศจรรย์แบบนี้ แทบจะหาดูที่ไม่ได้ในเมืองไทยแล้วนะครับ ตลอดเวลาร่วม 90 นาที เราเห็นเปลวไฟทางความคิดอ่านของคนทำหนัง ระอุอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มและบุรุษพยาบาลอยู่ตลอดเวลา

 เรายังคงได้เห็น ‘ท่วงท่า’ หรือ ‘ลีลา’ การเล่าเรื่องอย่างเรียบเรื่อย แต่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวของชีวิต ซึ่งอาจจะกลายเป็น ‘ขนบ’ หรือ ‘ธรรมเนียมปฏิบัติ’ ในหนังทางเลือกไปแล้ว ซึ่งในหนัง “เจ้านกกระจอก” ก็เช่นกัน แต่เวลาเดียวกันนั้น หนังใช้สัญญะ ที่ทั้ง ‘ซ่อนเร้น’ และ ‘ขับเน้น’ ให้เห็นเพื่อใช้เปรียบเทียบ อุปมาอุปไมย ซึ่งก็มีทั้ง ‘บ้าน’ ที่ผู้อาศัยล้วนเป็นคนไร้ชีวิตชีวา แต่สิ่งมีชีวิตอื่นอย่าง ‘ตะพาบน้ำ’ กลับเคลื่อนไหวเวียนว่ายไม่หยุด...

 และเมื่อหนังเดินทางมาถึง 15 นาทีสุดท้าย กลุ่มก้อนทางความคิดก็ปะทุขึ้นมาอย่างร้อนแรง ‘สุ้มเสียง’ ของภาษาหนังอันเกรี้ยวกราด ก็ถูกนำมาใช้เพื่อรองรับ ‘ธีม’ สำคัญ อันว่าด้วยการแตกดับของทุกสรรพสิ่ง

 “เจ้านกกระจอก” ตัวนี้ บินสูงและไกล เกินเรี่ยวแรงตัวน้อยๆ ของมัน แต่นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า ท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ย่อมมีที่ว่างให้โบยบินเสมอ ขึ้นอยู่กับว่า นกตัวไหนจะกล้า ฝ่าสายลม บินไปสู่ผืนฟ้าแห่งเสรีภาพทางความคิดผืนนั้น

ชื่อเรื่อง : เจ้านกกระจอก Mundane History
ผู้เขียนบท / กำกับ : อโนชา สุวิชากรพงศ์
นักแสดง : ภาคภูมิ สุรพงษ์อนุรักษ์, ปรเมศร์ น้อยอ่ำ
เรตภาพยนตร์ : ฉ.20+ ภาพยนตร์ที่ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าชม
วันที่เข้าฉาย : 5 สิงหาคม เฉพาะโรงภาพยนตร์ เอสเอฟ ซิเนม่า เอ็มโพเรี่ยม เท่านั้น

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"